คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5714/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยไปหาผู้ตายที่ที่ทำงานของผู้ตายและถามผู้ตายว่า มึงเล่นชู้กับเมียกูทำไม การที่ผู้ตายพูดว่ามึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่นนั้นเป็นการพูดตอบจำเลยแม้จะพูดในทำนองยั่วยุ แต่ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรง ทั้งผู้ตายไม่ได้พูดต่อหน้าผู้อื่นที่จะทำให้จำเลยได้รับความอับอายขายหน้าผู้อื่น ยังไม่ได้ถือว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2544 เวลากลางวัน จำเลยได้ฆ่านายทักษิณ สาระวาท โดยใช้อาวุธมีดปลายแหลม ยาว 11.5 นิ้ว แทงบริเวณด้านหลังตรงรอยต่อกระดูกต้นคอล่าง ขาขวา ต้นขาซ้าย หัวหน่าว ตามรายงานอาการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางภูวรรณ ตรีพิพิธ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจนมีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาในปี 2543 นางภูวรรณมาทำงานที่บริษัทที่เกิดเหตุซึ่งนายทักษิณ สาระวาท ผู้ตายทำงานอยู่และสนิทสนมกับผู้ตายในทำนองชู้สาว จำเลยจึงไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2544 จำเลยทราบว่านางภูวรรณได้ไปอยู่กินกับผู้ตาย ในวันที่ 2 สิงหาคม 2544 จำเลยและนางภูวรรณได้มาเจรจากันที่บ้านของมารดานางภูวรรณ แต่มาสามารถตกลงกันได้เพราะนางภูวรรณต้องการอยู่กินกับผู้ตาย ต่อมาในวันที่ 4 เดือนเดียวกัน ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา จำเลยไปขอคืนดีกับนางภูวรรณ แต่นางภูวรรณไม่ยอม จากนั้นในเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยได้ไปหาผู้ตายที่บริษัทที่เกิดเหตุโดยพกพามีดปลายแหลมติดตัวไปด้วย เมื่อพบกับผู้ตายจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมดังกล่าวแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า ฝ่ายโจทก์ไม่มีพยานปากใดเบิกความถึงเหตุการณ์ก่อนที่จำเลยจะแทงผู้ตาย เหตุการณ์ตอนนี้คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า เมื่อจำเลยเข้าไปบริเวณบริษัทดังกล่าวพบผู้ตาย จำเลยจึงถามผู้ตายว่า “มึงมีชู้กับเมียกูทำไม” ผู้ตายตอบว่า “มึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่น” ทำให้จำเลยโมโหจึงชักมีดออกมาเกิดต่อสู้กันและจำเลยใช้มีดแทงผู้ตาย เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ตายได้พูดถ้อยคำดังกล่าวจริง แต่จำเลยเป็นฝ่ายไปหาผู้ตายที่ทำงานของผู้ตายและจำเลยเป็นฝ่ายถามผู้ตายถึงเรื่องชู้สาวดังกล่าวขึ้นก่อน มิใช่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุ ที่ผู้ตายพูดว่ามึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่นนั้น ก็เป็นการที่ผู้ตายพูดตอบจำเลยแม้จะพูดในทำนองยั่วยุ แต่ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรง ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้พูดต่อหน้าผู้อื่นที่จะทำให้จำเลยได้รับความอับอายขายหน้าผู้อื่น จึงไม่น่าทำให้จำเลยเกิดโทสะถึงกับต้องฆ่าผู้ตาย ตามรูปการณ์มูลเหตุที่จูงใจให้จำเลยกระทำความผิดน่าจะเกิดความเจ็บแค้นใจที่มีอยู่เดิม เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนจำเลยฎีกาขอลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 15 ปี ก่อนลงโทษนั้นเป็นการลงโทษในอัตราขั้นต่ำสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษจำเลยเบากว่านี้ได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share