คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3288/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธนาคารโจทก์รับเช็คจากลูกค้า ได้ตีตราขีดคร่อมเฉพาะแก่ธนาคารโจทก์ เช็คหาย มีผู้นำเช็คนั้นไปเข้าบัญชีธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินโดยขีดฆ่าชื่อธนาคารโจทก์ในขีดคร่อมเฉพาะออก มีตราธนาคารโจทก์รับรองการแก้ไข แต่ลายมือชื่อบุคคลผู้รับรองการแก้ไขไม่มีในตัวอย่างผู้มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ ถือว่าเป็นลายมือชื่อปลอม การแก้ไขทำโดยโจทก์ไม่ได้ยินยอม ธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินตามเช็คแล้วจ่ายเงินแก่เจ้าของบัญชีไป คนของจำเลยไม่ตรวจลายมือชื่อที่รับรองการแก้ไข เป็นประมาทเลินเล่อ จำเลยต้องใช้เงินแก่ธนาคารโจทก์ซึ่งจ่ายเงินแก่ลูกค้าของโจทก์ไปตามจำนวนในเช็ค
ข้อที่จำเลยต่อสู้ในคำให้การ แต่ศาลมิได้กำหนดเป็นประเด็นในการชี้สองสถาน ถือว่าไม่มีประเด็นที่จะฎีกา

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน100,026 บาท กับดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 17 และวันที่ 25พฤษภาคม 2519 โจทก์โดยสำนักงานสาขาตลาดน้อยได้รับเช็คธนาคารกรุงไทยจำกัด ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2519 จำนวนเงิน 40,026 บาท กับเช็คธนาคารไทยพัฒนา จำกัด ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2519 จำนวนเงิน 60,000 บาท ไว้จากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เลี่ยงเซ้งจั่น และนายสุเมธ โล่สุวรัตน์ ตามลำดับ เพื่อส่งไปเบิกเงินนำเข้าบัญชีบุคคลทั้งสองนั้น เมื่อได้รับเช็คไว้แล้ว สาขาสำนักงานแห่งนั้นได้ขีดคร่อมเฉพาะ โดยกรอกชื่อธนาคารโจทก์ สาขาตลาดน้อยลงในระหว่างเส้นขนานคู่และมีคนร้ายลักเช็คดังกล่าวไปก่อนส่งไปเบิกเงิน ต่อมานายสุรพล สมบูรณ์ทรัพย์ นำเช็ค 2 ฉบับนั้นไปเข้าบัญชีที่สำนักงานงานสาขาตลาดน้อย จำเลยเมื่อวันที่ 20 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2519 ตามลำดับ โดยเช็คนั้นมีการแก้ไขขีดฆ่าคำว่า “ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาตลาดน้อย” โดยมีดวงตราของโจทก์และลายมือชื่อซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นของผู้ใดรับรองการแก้ไขนั้นสำนักงานสาขาตลาดน้อยจำเลยได้รับเช็คนั้นไว้และส่งไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็ค เมื่อได้รับเงินแล้วจ่ายให้นายสุรพล สมบูรณ์ทรัพย์ไป ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เลี่ยงเซ้งจั่น กับ นายสุเมธ โล่สุวรัตน์ ผู้มีสิทธิในเช็คนั้น จึงไม่ได้รับเงินตามเช็ค และโจทก์ได้ชดใช้เงินให้บุคคลทั้งสองแล้ว มีปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ พิเคราะห์แล้วได้ความว่า เช็ค 2 ฉบับ นั้นเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ มีชื่อธนาคารโจทก์สาขาตลาดน้อยอยู่ในระหว่างเส้นคู่ขนานแต่ชื่อดังกล่าวถูกแก้ไขขีดฆ่าออก มีดวงตราของของโจทก์กับลายมือชื่อซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใดรับรองการแก้ไขนั้น มีปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้แก้ไขหรือยินยอมให้แก่ไขข้อความดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่าแม้ดวงตราจะเป็นของแท้จริงของโจทก์แต่ลายมือชื่อรับรองการแก้ไขนั้นไม่มีอยู่ในตัวอย่างลายมือชื่อของผู้มีอำนาจลงนามในเช็คของโจทก์ซึ่งส่งไปให้จำเลยไว้ใช้ตรวจสอบ จึงเชื่อได้ว่าลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอมฟังได้ว่ามีผู้แก้ไขฆ่าชื่อธนาคารโจทก์โดยโจทก์มิได้ยินยอม เช็คดังกล่าวจึงเป็นอันเสียใช้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1007 ไม่ชอบที่จำเลยจะรับเงินตามเช็คนั้นไว้ การที่จำเลยรับเช็คและรับเงินตามเช็คนั้นไว้ เชื่อว่าจำเลยกระทำโดยสุจริต ไม่ทราบว่าลายมือชื่อนั้นปลอมแต่ได้ความตามคำนายศิริวัฒน์สมุห์บัญชีพยานจำเลยว่า นายศิริวัฒน์ อุยากรมิได้ตรวจลายมือชื่อนั้นกับลายมือชื่อตัวอย่าง จึงไม่ทราบว่าการแก้ไขนั้นไม่ชอบเห็นว่าการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยละเลยไม่กระทำการดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ทราบถึงการกระทำตามฟ้องคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น นายสุรเดช วสุธาลัยนันท์ พยานโจทก์เบิกความว่าได้รับแจ้งจากนายสุเมธ โล่สุวรัตน์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2519 ว่า เช็คที่นำไปเข้าบัญชียังมิได้รับเงิน นายสุรเดช วสุธาลัยนันท์ จึงตรวจสอบทราบว่ามีผู้ลักเช็คนำไปเข้าบัญชีที่สำนักงานสาขาตลาดน้อย จำเลยนายสุเมธ โล่สุวรัตน์ พยานโจทก์เบิกความรับว่าได้แจ้งเรื่องเช็คแก่นายสุรเดช วสุธาลัยนันท์ ในวันดังกล่าวจริงและนายศิริวัฒน์ อุยากร พยานจำเลยรับว่าหลังจากได้รับเงินตามเช็คฉบับที่ 2แล้วประมาณครึ่งเดือน นายสุรเดช วสุธาลัยนันท์ ไปขอตรวจบัญชี และปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ว่า จำเลยได้รับเงินตามเช็คฉบับหลังเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม2519 คำนายศิริวัฒน์ อุยากร จึงสมคำพยานโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ได้ทราบถึงการกระทำความผิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2519 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 6 มิถุนายน 2520ไม่เกิน 1 ปี คดีไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะนายบรรพต แตงเอี่ยมซึ่งลักเช็คไปจากโจทก์ มีผู้ค้ำประกันรับชดใช้ความเสียหายให้โจทก์ เห็นว่าปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นมาแต่ต้น และที่จำเลยฎีกาว่าความเสียหายเกิดจากความประมาทของโจทก์เอง โจทก์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้นั้นแม้จำเลยจะยกขึ้นให้การเป็นประเด็นมาแต่ศาลชั้นต้น แต่ในการชี้สองสถานศาลมิได้ยกปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทปัญหาทั้งสองนี้จึงไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายืน

Share