คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกอีก 1 คน ชิงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ขวางหน้ารถผู้เสียหาย พวกของจำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจำเลยชักอาวุธปืนออกมาและบอกให้ผู้เสียหายหยุด เมื่อผู้เสียหายขัดขวางมิให้จำเลยขับรถของผู้เสียหายไปพวกของจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทันทีและยิงซ้ำอีกแต่กระสุนไม่ลั่น แล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยต้องทราบดีว่าพวกของจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมา โดยจำเลยกับพวกตั้งใจที่จะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมานั้นประหัตประหารผู้ที่ต่อสู้ขัดขืนในการที่จำเลยกับพวกทำการชิงทรัพย์ การที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดอาญา จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย.(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะและจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้เสียหาย 1 นัดโดยเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 339, 340 ตรี 288, 289, 80, 83 ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339, 340 ตรี 289, 80,83 ลงโทษตามมาตรา 289, 80 ประกอบด้วยมาตรา 52 อันเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 339 วรรคห้า (ที่ถูกเป็นวรรคสี่) 340 ตรีจำคุก 24 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยจำเลยไม่คัดค้านว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยกับพวก 1 คน ได้ทำการชิงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปโดยจำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ จำเลยเป็นคนขับรถขวางหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพวกของจำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจำเลยชักอาวุธปืนออกมาและบอกให้ผู้เสียหายหยุดเมื่อผู้เสียหายขัดขืนพวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหาย 1 นัดก่อนจะหนีไปพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงมาทางผู้เสียหายอีกแต่กระสุนไม่ลั่น มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นฎีกาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยหรือไม่ผู้เสียหายเบิกความว่าเมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ขวางหน้ารถของผู้เสียหายพวกของจำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายมากับจำเลยบอกให้ผู้เสียหายหยุดพร้อมทั้งชักอาวุธปืนออกมาและเดินเข้ามาทำท่าจะใช้อาวุธปืนตีศีรษะผู้เสียหายผู้เสียหายยกมือขึ้นกันไว้ รถผู้เสียหายจึงล้มลงจำเลยมาจับรถของผู้เสียหายสตาร์ทเพื่อจะขับไปผู้เสียหายเข้าไปขัดขวางมิให้นำรถของผู้เสียหายไปพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหายที่ต้นขาและที่บริเวณสีข้างด้านซ้ายจำเลยขับรถของผู้เสียหายไปจอดรอพวกที่หน้าสมาคมฮากกา พวกของจำเลยสตาร์ทรถของจำเลยแต่ไม่ติดผู้เสียหายใช้มีดตัดโฟมกรีดที่หน้าอกของจำเลย 2 ครั้ง พวกของจำเลยบรรจุกระสุนปืนและยิงมาทางผู้เสียหายแต่กระสุนไม่ลั่นพวกของจำเลยวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถที่จำเลยขับแล้วพากันหลบหนีไปเห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าพวกของจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแต่ตามพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุจำเลยเป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์โดยพวกของจำเลยนั่งซ้อนท้ายมาด้วยกันเมื่อจำเลยขับรถขวางหน้ารถผู้เสียหายพวกของจำเลยก็ชักอาวุธปืนออกมาและบอกให้ผู้เสียหายหยุดพร้อมทั้งลงจากรถไปหาผู้เสียหายและยกอาวุธปืนทำท่าจะตีผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายขัดขวางมิให้จำเลยขับรถของผู้เสียหายไป พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทันทีและยิงซ้ำอีกแต่กระสุนไม่ลั่นแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าจำเลยต้องทราบดีว่าพวกจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาโดยจำเลยกับพวกตั้งใจที่จะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมานั้นประหัตประหารผู้ที่ต่อสู้ขัดขืนในการที่จำเลยกับพวกทำการชิงทรัพย์ซึ่งเมื่อผู้เสียหายขัดขวางมิให้จำเลยขับรถของผู้เสียหายไปพวกของจำเลยก็ยิงผู้เสียหายทันทีแล้วจำเลยกับพวกหลบหนีไปด้วยกันการที่พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายก็เพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดทางอาญา จำเลยกับพวกได้ร่วมมือกันตั้งแต่ต้นตลอดมาจนกระทั่งนำรถของผู้เสียหายหลบหนีไปจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย’
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.

Share