แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อที่ดินอำเภอในที่พิพาทต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ที่ดินอำเภอ และปลัดอำเภอตามลำดับเป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจออกเอกสารใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในเขตอำนาจ ย่อมทราบดีว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือไม่ ได้ร่วมกันดำเนินการจัดสรรออกใบจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่พิพาทให้จำเลยที่ 4 กับทำนิติกรรมโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 4 กับที่ 6ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่จำต้องฟังผลคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ศาลได้มีคำพิพากษาในประเด็นข้อนี้แล้วว่าไม่เป็นฟ้องซ้อน ปัญหาข้อนี้จึงยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 4 บางส่วนได้ออกทับที่ดินของโจทก์ เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์จะขอให้เพิกถอนทั้งหมดหาได้ไม่ ปัญหาว่า ที่พิพาทคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ดินซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นที่ของโจทก์ในอีกคดีหนึ่งนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2513 จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอสูงเนินได้ออกประกาศให้มีการจับจองที่ดินของโจทก์ซึ่งมิใช่ที่รกร้างว่างเปล่า และโจทก์ได้ครอบครองเกินกว่า10 ปีแล้ว และอยู่ระหว่างการที่โจทก์ขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองวันที่ 9 มีนาคม 2513 จำเลยที่ 4 ยื่นเรื่องราวขอจับจองที่ดินต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินอำเภอโดยรวมเอาที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ เข้าไปด้วย จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นปลัดอำเภอสูงเนิน ได้ออกประกาศจับจองที่ดินของจำเลยที่ 4 ทั้งนี้จำเลยทั้งสี่ดังกล่าวได้ร่วมกันโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ จำเลยที่ 1 ออกใบจองให้จำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 24เมษายน 2513 ต่อมาวันที่ 27 เดือนเดียวกัน จำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำขอรับรองการทำประโยชน์และจำเลยที่ 3 ได้ออกประกาศตามคำขอในวันเดียวกัน และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้จัดการได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายที่ดินตามใบจองที่ขอรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 4 ต่อจำเลยที่ 1 โดยผ่านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ออกประกาศขายในวันนั้น จำเลยที่ 3 ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ 4เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2513 และในวันเดียวกันจำเลยที่ 4 ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำสัญญาและรับจดทะเบียนให้ ขอให้พิพากษาว่า ใบจองเล่ม 1 หน้า 195หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 978 หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 6 เป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์กับหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเสีย
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่าเปล่า ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ทางราชการจัดสรรให้ประชาชน จำเลยที่ 4 ขอจับจองและทำประโยชน์ทางราชการจัดสรรให้ประชาชน จำเลยที่ 4 ขอจับจองและทำประโยชน์ทางราชการจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ การกระทำของจำเลยทั้งหกในการขอจับจองที่ดิน การดำเนินการตามคำขอ การออกใบจองการขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การทำสัญญาซื้อขาย การดำเนินการตามคำขอและการจดทะเบียน ได้ทำตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ จำเลยที่ 4 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า 1 ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ 5 ที่ 6 ซื้อจากจำเลยที่ 4 โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตโจทก์จำเลยกำลังพิพากษาเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องตามคดีหมายเลขดำที่ 282/2514 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่282/2514 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนใบจองเล่ม 1 หน้า 195หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 978 เฉพาะส่วนที่อยู่ในพื้นที่สีชมพูตามแผนที่พิพาท เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ 4 และที่ 6 เฉพาะส่วนนี้
โจทก์และจำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบจองเล่ม 1 หน้า 195หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 978 และนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ 4 และที่ 6 ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอสูงเนินที่ดินอำเภอสูงเนินและปลัดอำเภอสูงเนินตามลำดับ เป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจออกเอกสารใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในเขตอำเภอสูงเนิน ย่อมทราบดีว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ดินแปลงใดมีการครอบครองจนได้สิทธิครอบครองแล้ว โจทก์เคยถูกเจ้าพนักงานป่าไม้จับกุมฐานแผ้วถางป่า ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อ พ.ศ. 2512 ว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ในปีเดียวกันนั้นโจทก์ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อที่ดินอำเภอในที่พิพาท จำเลยที่ 6คัดค้าน โจทก์ฟ้องฟ้องจำเลยที่ 6 กับพวก ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2515 ของศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันดำเนินการจัดสรร ออกใบจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่พิพาทให้จำเลยที่ 4 กับทำนิติกรรมโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 4กับที่ 6 อันถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหกได้โดยไม่จำต้องฟังผลคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2515 ของศาลชั้นต้นว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ที่จำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2514 ของศาลชั้นต้นว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ที่จำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2514 ของศาลชั้นต้นนั้น ปัญหานี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ 131/2522 แล้วว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2514 ของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาที่ยุติแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอีก
ปัญหาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 978 ตามฟ้องออกทับที่ดินของโจทก์หรือไม่เพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับดังกล่าวได้ออกทับที่ดินของโจทก์อันเป็นที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 282/2514 ของศาลชั้นต้น ประมาณ4-2-70 ไร่ ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 978จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาต่อไปมีว่าควรจะเพิกถอนโดยการแก้ไขเฉพาะส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกาหรือไม่เห็นว่ากรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งฉบับ
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ฎีกาว่า ที่พิพาทในคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่282/2514 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า ปัญหานี้มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบจองเล่ม 1 หน้า 195 หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 978 เฉพาะส่วนที่ทับกันเนื้อที่ประมาณ4-2-70 ไร่ และนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 6 เฉพาะส่วนนี้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.