แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามสัญญาที่จำเลยขอเปิดวงเงินเบิกเกินบัญชีจากโจทก์ ดังนั้นเมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เพราะถือว่าโจทก์มีเหตุที่อ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และดอกเบี้ยหลังจากสัญญาเลิกกันแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลจะมีอำนาจปรับลดลงได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 156,392.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 146,480.17 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคิดแบบทบต้นในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 มกราคม 2530 ไปจนถึงวันที่ 19 มีนาคม 2534และในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2534ไปจนถึงวันที่ 12 กันยายน 2534 และดอกเบี้ยไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กันยายน 2534 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กันยายน (ที่ถูกคือวันที่ 13 กันยายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์เพิ่มอีก 63,282.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยคิดแบบทบต้นอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2532ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2534 อัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่20 มีนาคม 2534 ถึงวันที่ 12 กันยายน 2534 และดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กันยายน 2534จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์จำนวน 63,282.25 บาท ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น เห็นว่าเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่าในช่วงนับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2534 ถึงวันที่ 12 กันยายน 2534 แม้โจทก์จะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีก็ตาม แต่ภายหลังจากที่เลิกสัญญากันแล้วโจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นเท่านั้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นเท่านั้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังสัญญาเลิกกันแล้วถือเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลมีอำนาจปรับลดให้น้อยลงได้นั้น เห็นว่า หนี้เงินนั้นท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมายก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224วรรคหนึ่งสำหรับคดีนี้โจทก์นำสืบฟังได้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ดังนั้น หลังสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ เพราะถือว่าโจทก์มีเหตุที่อ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมายและดอกเบี้ยหลังจากสัญญาเลิกกันแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลจะมีอำนาจปรับลดลงได้ดังที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีหลังจากสัญญาเลิกกันแล้วพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน