แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,343วรรคหนึ่งจำคุก3ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา341คงจำคุก3ปีเช่นกันเป็นการแก้ไขเฉพาะการปรับบทกฎหมายโดยมิได้แก้ไขโทษเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งโจทก์ฎีกาว่าลักษณะการกระทำของจำเลยเป็นการชักชวนบุคคลทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแม้ไม่มีการประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่วไปและจำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้ทุจริตและมิได้หลอกลวงบรรดาผู้เสียหายรวมทั้งไม่ได้รับเงินจากผู้เสียหายเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายที่ 1ถึงที่ 8 คนละ 35,000 บาท และผู้เสียหายที่ 9 จำนวน 20,000 บาทรวมเป็นเงิน 300,000 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 343 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชนให้จำคุก 3 ปี ฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 8 ปี ให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 คนละ 35,000 บาท และผู้เสียหายที่ 9จำนวน 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 คงจำคุก 3 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฎีกาของโจทก์หรือมิได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงตามฎีกาของจำเลยหรือไม่ปรากฏว่าในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 343 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 คงจำคุก 3 ปีเท่ากับศาลชั้นต้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้ไขเฉพาะการปรับบทกฎหมายในการลงโทษโดยมิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่โจทก์ฎีกาว่าลักษณะการกระทำของจำเลยเป็นการชักชวนบุคคลทั่วไปไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้ไม่มีการประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่วไป เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่รับฟังมาว่าพฤติการณ์การหลอกลวงของจำเลยมิได้มีลักษณะเป็นการประกาศแก่บุคคลทั่วไป จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและที่จำเลยฎีกาทำนองว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตและมิได้หลอกลวงบรรดาผู้เสียหายรวมทั้งไม่ได้รับเงินจากผู้เสียหายเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่รับฟังมาว่า จำเลยกับพวกหลอกลวงชวนผู้เสียหายทั้งเก้าไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งเก้า ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ดังนี้ฎีกาของโจทก์และจำเลยในส่วนนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน