คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5690/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคชก.ที่ถึงที่สุดคือไม่ยอมให้โจทก์เช่าทำนาในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อไปตามเดิมและไม่ยอมขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ตามที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยการที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดของคชก.จังหวัดทั้งสองกรณีนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา58วรรคหนึ่งบัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้บังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดได้อยู่แล้วโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีนี้ย่อมฟ้องขอให้ศาลบังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้เช่าที่ดินของนางสำรวยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 369 และ 374เพื่อทำนา ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2531 นางสำราญขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยในราคา 150,000 บาท โดยไม่แจ้งให้โจทก์และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลห้วยเกตุ(คชก.ตำบลห้วยเกตุ) ทราบ โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อ คชก.ตำบลห้วยเกตุเพื่อให้พิจารณาให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทตามเดิมและให้จำเลยขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท ต่อมา คชก. ตำบลห้วยเกตุมีมติ ให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทตามเดิมและให้จำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพิจิตร(คชก.จังหวัดพิจิตร) คชก.จังหวัดพิจิตรมีมติยืนตามมติของคชก.ตำบลห้วยเกตุ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตรมติดังกล่าวจึงถึงที่สุดแต่จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามมติดังกล่าวและได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้ต่อธนาคารทหารไทย จำกัดขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาท โดยการชำระราคาที่ดินโจทก์ขอชำระให้แก่ผู้รับจำนองแทนหรือหากกฎหมายไม่เปิดช่อง โจทก์ก็ขอชำระแก่จำเลยในวันจดทะเบียนโอน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือไม่อาจจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้โจทก์ได้ ขอให้จำเลยหรือผู้รับจำนองส่งมอบ น.ส.3 ก.ดังกล่าวต่อศาล แล้วให้โจทก์รับ น.ส.3 ก.ไปโอนเองและให้เอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยโดยให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าธรรมเนียมให้การจดทะเบียนโอนแก่โจทก์ด้วย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 369 ตำบลห้วยเกตุอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 6 ตารางวาและเลขที่ 374 ตำบลห้วยเกตุ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรเนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาทหากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนขายให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ซื้อคืนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตรก็เท่ากับจำเลยโต้แย้งคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตรโดยตรงการโต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 58 วรรคสอง บัญญัติให้เป็นอำนาจของ คชก.จังหวัดพิจิตรโดยเฉพาะที่จะเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตร กฎหมายมิได้ให้อำนาจโจทก์ที่จะเป็นผู้ยื่นฟ้องจำเลยเองนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตรที่ถึงที่สุดคือไม่ยอมให้โจทก์เช่าทำนาในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อไปตามเดิมและไม่ยอมขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ในราคา 150,000 บาทภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ คชก.จังหวัดพิจิตรมีคำวินิจฉัย การที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดของ คชก.จังหวัดพิจิตรทั้งสองกรณีนี้ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้บังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดได้อยู่แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีนี้ย่อมฟ้องขอให้ศาลบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพิจิตรได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน

Share