คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5687/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2542 ซึ่งมาตรา 3 ให้ยกเลิก พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2508 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 และฉบับที่ 5พ.ศ. 2530 เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 หลังวันที่พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ใช้บังคับแล้ว 1 ปีเศษ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเก็บไว้เพื่อจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตราย มีปริมาณเกินกว่า 10,000 ลิตร ไว้ในสถานที่เก็บน้ำมันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อนแล้ว โดยมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ที่บัญญัติขึ้นใช้ในภายหลัง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็รับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยในระหว่างเวลาที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ยังมีผลใช้บังคับอยู่นั้นยังคงเป็นความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ต้องถือว่าจำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ส่วนการกระทำของจำเลยนับแต่วันที่ พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 บัญญัติขึ้นใช้ภายหลังและยกเลิก พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 แล้ว โจทก์ยังบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดและขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ซึ่งถูกยกเลิกไป จึงมีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยระหว่างวันเวลาดังกล่าวเป็นความผิดจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 26ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ต้องยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้ผู้ซื้อสินค้าเข้าใจผิดว่าสินค้าที่จำเลยผลิตขึ้นนั้นเป็นของบริษัท ส. และบริษัท ฮ. ผู้เสียหาย โดยใช้ป้ายโฆษณาที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายติดที่สินค้า อันเป็นการใช้ฉลากซึ่งมีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายในการขายสินค้าเพื่อลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดนั้นถือว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกันในความผิดฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม กับฐานใช้ฉลากในการขายสินค้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณของสินค้าดังกล่าว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2543 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยกับพวกอีกหลายคน ซึ่งยังหลบหนีอยู่ได้ร่วมกันตั้งโรงงานจำพวกที่ 3 โดยจำเลยกับพวกดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตทั้งจำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทสยามคูโบต้าอุตสาหกรรมจำกัด ผู้เสียหายที่ 1 บริษัทฮอนด้ากิเคน โคเงียว คาบูซิกิ ไคชา จำกัด ผู้เสียหายที่ 2จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ 1 โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันจาระบี และผ้าเบรกที่ใช้กับรถยนต์ที่มีเครื่องหมายการค้าที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำปลอมเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันมีเก็บไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าน้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเครื่องซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตรายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและจำเลยกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันขายสินค้าน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันจาระบีและผ้าเบรกที่ใช้กับรถยนต์ โดยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อและเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพของสินค้าดังกล่าว อันเป็นความเท็จว่าเป็นสินค้าที่ผลิตออกจำหน่ายโดยผู้เสียหายที่ 1และที่ 2 โดยจำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันใช้ป้ายโฆษณาที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ติดที่สินค้าดังกล่าวซึ่งการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวยังไม่ถึงขนาดเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 108, 109, 110, 114 และ 115 พระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 มาตรา 5, 7, 8, 12, 13, 50, 51 และ 63 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มาตรา 4, 17 และ 48 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 30, 31, 47, 58 และ 59 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 83, 90 และ 91 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 5, 7, 8, 12 วรรคสอง และ50 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 108, 109, 110(1),108 (ที่ถูกเป็นมาตรา 108, 109 และมาตรา 110(1) ประกอบด้วยมาตรา 108) พระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มาตรา 4, 17 และ 48 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 30, 31 และ 47 วรรคหนึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันตั้งโรงงานจำพวกที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันใช้ฉลากโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่นของสินค้าปรับ 50,000 บาทและฐานร่วมกันเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตรายมีปริมาณเกินกว่า 10,000 ลิตรไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตปรับ 50,000 บาท รวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วให้จำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก6 เดือน และปรับ 50,000 บาท ริบของกลาง พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นอันตรายและมีผลกระทบต่อผู้บริโภคและสาธารณชนโดยรวมจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้ สำหรับข้อหาตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 13 และ 51 นั้น ให้ยก เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติความผิดสำหรับผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงาน เมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้ได้รับอนุญาตจึงไม่เป็นความผิดฐานนี้

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”ในเบื้องต้นเห็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตรายมีปริมาณเกินกว่า 10,000 ลิตร ไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2543 และมีคำขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มาตรา 4, 17 และ 48 และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2542 บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับต่าง ๆ อีก 4 ฉบับ คือ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2496 ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2508ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 และฉบับที่ 5 พ.ศ. 2530 แล้วจึงต้องพิจารณาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ยังเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังดังกล่าวแล้วหรือไม่ ปรากฏว่าตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2542 มาตรา 7 บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงกำหนดการเก็บรักษาและการควบคุมอื่นใดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรา 17 บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทกิจการควบคุมของการมีน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในครอบครองสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคลังน้ำมันเชื้อเพลิง และการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งหรือทุกชนิดรวมกัน ให้สอดคล้องกับระดับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ได้แก่กิจการที่สามารถประกอบการได้ทันทีตามความประสงค์ของผู้ประกอบการ ประเภทที่ 2 ได้แก่ กิจการที่เมื่อจะประกอบการต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน และประเภทที่ 3 ได้แก่ กิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะประกอบการได้และในมาตรา 18, 19 และ 22 บัญญัติให้ผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่างต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 7 ส่วนบทกำหนดโทษสำหรับผู้ประกอบกิจการควบคุมแต่ละประเภทที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 7 ดังกล่าวจะแตกต่างกัน กล่าวคือ กรณีผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 1 ต้องระวางโทษตามมาตรา 62 จำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 2 ต้องระวางโทษตามมาตรา 63 จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีผู้ประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ต้องระวางโทษตามมาตรา 66 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 หลังจากที่พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ใช้บังคับแล้ว 1 ปีเศษ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันมีเก็บไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไม่น่ากลัวอันตราย มีปริมาณเกินกว่า 10,000 ลิตร ไว้ในสถานที่เก็บน้ำมันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อนดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว โดยไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ที่บัญญัติขึ้นใช้ในภายหลังเพียงใดหรือไม่ ดังนี้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามคำฟ้อง ก็รับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยในระหว่างตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 2ธันวาคม 2542 ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ยังมีผลใช้บังคับอยู่นั้นยังคงเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังดังกล่าวข้างต้น จึงต้องถือว่าจำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ส่วนการกระทำของจำเลยตั้งแต่วันที่ 3ธันวาคม 2542 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2543 ซึ่งมีพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2542 บัญญัติขึ้นใช้ภายหลังและยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว แต่โจทก์ยังบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดและขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2474 ซึ่งถูกยกเลิกแล้วจึงมีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างบทกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยระหว่างวันดังกล่าวเช่นนั้นเป็นความผิด เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) จึงต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ นอกจากนี้ในความผิดฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม และความผิดฐานร่วมกันใช้ฉลากในการขายสินค้าโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณหรือสาระสำคัญประการอื่นของสินค้าซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้ผู้ซื้อสินค้าเข้าใจผิดว่าสินค้านั้นเป็นของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 โดยใช้ป้ายโฆษณาที่มีตราเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายดังกล่าวติดที่สินค้าก็เป็นการกระทำที่มีเจตนาในการใช้ฉลากซึ่งมีเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายดังกล่าวในการขายสินค้าเพื่อลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดโดยมีเจตนาเดียวกันในการกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่การกระทำความผิดต่างกรรมกันดังที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามา และปัญหาดังกล่าวมานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างนายโสภณ แซ่ลิ้มจำเลยได้กระทำไปตามที่ได้รับว่าจ้างโดยไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จำเลยมิได้กระทำผิดโดยตนเองแต่อย่างใด ทั้งขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับจำเลยก็ยังไม่มีการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นหรือจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมแต่อย่างใด เพียงแต่พบถังน้ำมันที่มีน้ำมันยี่ห้อมอลล์เก็บไว้ ซึ่งเป็นน้ำมันที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ชนิดน่ากลัวอันตราย ทั้งยังไม่มีการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 แต่อย่างใด เป็นเพียงอยู่ในขั้นเตรียมการจะกระทำจึงถือว่าความผิดยังไม่เกิดขึ้นนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำผิดของจำเลยไว้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยกับพวกร่วมกันตั้งโรงงานจำพวกที่ 3 เพื่อผลิตผสม และบรรจุน้ำมันหล่อลื่นโดยมิได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเลียนเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนของผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยนำไปใช้กับสินค้าเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จำเลยกับพวกมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันจาระบี และผ้าเบรกที่ใช้กับรถยนต์ที่มีเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ปลอม และจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ฉลากในการขายสินค้าดังกล่าวไปโดยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อและเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด คุณภาพของสินค้าอันเป็นความเท็จว่าสินค้านั้นเป็นของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามคำฟ้องแล้ว ข้อเท็จจริงในคดีเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลย 5 ข้อหานี้จึงรับฟังเป็นยุติไปตามคำฟ้องซึ่งครบองค์ประกอบเป็นความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ซึ่งมิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยให้ เนื่องจากอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2539 มาตรา 38 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษจำคุกและปรับจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นการลงโทษหนักเกินไปนั้น เห็นว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวมาข้างต้นนั้น นอกจากจะเป็นการประกอบกิจการโดยฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้วยังเป็นการประกอบการค้าที่เอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่สุจริตอันก่อให้เกิดความเสียหายด้านเศรษฐกิจของชาติ ทั้งสินค้าที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายก็เป็นสินค้าที่มีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค การกระทำของจำเลยนับได้ว่าเป็นอันตรายต่อสาธารณชนด้วย ในส่วนความผิดข้อหาที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดของจำเลยแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้รอการลงโทษแก่จำเลย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเฉพาะการลงโทษจำเลยในความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 109 นั้น เมื่อบทมาตราดังกล่าวมีระวางโทษเบากว่าระวางโทษในความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 108 จึงเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยในความผิดตามมาตรา 109 ให้น้อยลงกว่าความผิดตามมาตรา 108″

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร จำคุก 1 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 15 วัน ความผิดฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมกับความผิดฐานร่วมกันใช้ฉลากโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นของสินค้า เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษฐานเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534มาตรา 110(1) ประกอบด้วยมาตรา 108 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เพียงบทเดียวให้จำคุก 3 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มาตรา 4, 17 และ 48 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วคงจำคุก 5 เดือน โดยไม่มีโทษปรับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share