แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่อุทธรณ์ของจำเลยมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า สัญญาแชร์ระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยมีข้อตกลงตามที่จำเลยกล่างอ้างหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยจัดตั้งวงแชร์ขึ้นโดยจำเลยเป็นนายวง มีผู้ร่วมเล่น 24 หุ้น หุ้นละ 2,000 บาท โจทก์ทั้งห้าร่วมเล่นแชร์เป็นลูกวง โดยโจทก์ที่ 1 ร่วมเล่น 2 หุ้น (มือ) โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมเล่นคนละ 1 หุ้น (มือ) ในการเล่นแชร์ดังกล่าว จำเลยในฐานะวงแชร์มีสิทธิเก็บรวบรวมเงินงวดแชร์จากลูกวงทั้งหมดไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้ก่อนเป็นอันดับแรกโดยไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ยและผลประโยชน์ใดๆ แต่จำเลยมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมเงินค่าแชร์ โดยหักดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตามจำนวนที่ลูกวงแชร์ผู้ประมูลได้เสนอให้แก่ลูกวงแชร์ที่ยังประมูลไม่ได้ เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้ประมูลแชร์ได้จนครบ โดยจะมีการประมูลแชร์เดือนละครั้งถือเป็นงวดหนึ่ง หากมีลูกวงแชร์คนใดคนหนึ่งหรือหลายคนไม่ชำระเงินค่างวดแชร์รวมทั้งดอกเบี้ยและผลประโยชน์ตามที่ตกลงไว้ในขณะประมูลไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ หรือเพราะวงแชร์เลิกหรือหยุดชะงักหรือล้มไปไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินค่างวดแชร์ทั้งดอกเบี้ยและผลประโยชน์ที่ลูกวงแชร์ได้เสียไปหรือควรได้รับทั้งหมดให้แก่ลูกวงแชร์ทุกคนที่ยังไม่ได้ประมูล หลังจากนั้นโจทก์ทั้งห้าและลูกวงแชร์อื่นได้ส่งเงินงวดแชร์แก่จำเลยจนครบตามข้อตกลงรวมระยะเวลา 13 เดือน โจทก์ที่ 1 ส่งค่าแชร์เป็นเงินต้น 52,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ส่งค่าแชร์เป็นเงินต้นคนละ 26,000 บาท ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2545 จำเลยแจ้งแก่โจทก์ทั้งห้าและลูกวงแชร์อื่นว่า ลูกวงแชร์บางคนไม่ชำระเงินงวดแชร์และดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตามที่ตกลงไว้จนเป็นเหตุให้วงแชร์ล้มและเลิกสัญญาแชร์ ซึ่งจำเลยต้องรับผิดคืนเงินค่างวดแชร์ที่โจทก์ทั้งห้าได้จ่ายไปแล้วพร้อมทั้งผลประโยชน์ที่ควรได้ให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 64,070 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 32,035 บาท จำเลยได้ยอมรับสภาพหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์ทั้งห้า โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวด แต่จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งห้าเพียงบางส่วน คงค้างชำระโจทก์ที่ 1 เป็นต้นเงิน 8,000 บาท ผลประโยชน์ 4,070 บาท และค้างชำระโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นต้นเงินคนละ 4,000 บาท ผลประโยชน์คนละ 2,035 บาท และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยที่ต้องรับผิดแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,112.25 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 1,056,125 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นต้นเงิน 12,070 บาท ดอกเบี้ย 2,112.25 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นต้นเงินคนละ 6,035 บาท และดอกเบี้ยคนละ 1,056.125 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นนายวงแชร์ โจทก์ทั้งห้าทราบดีว่านายประกิตลูกวงแชร์ซึ่งประมูลแชร์ได้เงินไปแล้วไม่ยอมชำระต้นเงินและผลประโยชน์คืนแก่วงแชร์ วงแชร์จึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้อันต้องยุติล้มเลิก จำเลยยังทำหน้าที่เป็นนายวงแชร์ที่ดีเก็บรวบรวมเงินแชร์จากลูกวงแชร์ที่ประมูลไปก่อนทั้งต้นเงินและผลประโยชน์รวมทั้งเงินที่จำเลยรับไปจากลูกวงแชร์เฉลี่ยคืนให้แก่ลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูลรวมถึงโจทก์ทั้งห้าด้วย ส่วนเงินที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคือจำนวนเงินที่นายประกิตค้างชำระไม่จ่ายวงแชร์เป็นมูลหนี้ที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องเอาแก่นายประกิตได้โดยตรงอยู่แล้ว ซึ่งธรรมเนียมการเล่นแชร์นายวงแชร์ไม่มีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินแทนลูกวงแชร์ที่ประมูลแล้ว มีหน้าที่เพียงตามเก็บรวบรวมเงินให้ลูกวงแชร์อื่นเท่านั้น จำเลยไม่เคยมีข้อตกลงหรือสัญญาจะจ่ายเงินแทนลูกวงแชร์ที่ไม่จ่ายเงินให้แก่วงแชร์ จำเลยไม่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งห้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์บางส่วนแล้วเห็นว่าคู่ความรับข้อเท็จจริงกันได้และเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้วให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ที่ 1 จำนวน 14,182.25 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 7,091.125 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินโจทก์ที่ 1 จำนวน 12,070 บาท ต้นเงินโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 6,035 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 กรกฎาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความให้แก่โจทก์แต่ละคนจำนวน 400 บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การที่โจทก์ทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้าน และศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาพอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว มีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาแชร์หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ.2534 ที่บัญญัติว่า บทบัญญัติในมาตรา 6 ไม่กระทบกระเทือนถึงการที่สมาชิกวงแชร์จะฟ้องคดีหรือใช้สิทธิเรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ ต้องเป็นกรณีที่มีสิทธิฟ้องหรือเรียกร้องได้ตามนิติกรรมหรือข้อตกลงหรือสัญญาได้อยู่ก่อนแล้ว ส่วนของจำเลยนั้น เมื่อสัญญาแชร์เลิกแล้ว สมาชิกทุกคนในวงแชร์รวมทั้งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม ผู้ที่ได้ประโยชน์ไปแล้วมีหน้าที่ต้องส่งคืน ผู้เสียประโยชน์ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์กับผู้ที่ประมูลไปแล้ว โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้เสียประโยชน์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาแก่นายประกิต เมื่อคดีไม่มีข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยได้ประโยชน์พิเศษหรือมีข้อตกลงที่จะจ่ายเงินแทนสมาชิกที่ไม่จ่ายเงินคืน แต่ข้อเท็จจริงยุติฟังได้ว่าไม่มีข้อความใดเป็นข้อตกลงว่าจำเลยจะเป็นผู้จ่ายเงินแทนนายประกิตสมาชิกผู้ประมูลแชร์ได้แล้วไม่จ่ายเงินค่าแชร์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ทั้งห้า จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า สัญญาแชร์ระหว่างโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยมีข้อตกลงตามที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยก่อน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาต่อไป.