แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 10 เม็ด และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับไปทั้งหมด ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยพบว่ายังมีเฮโรอีนอยู่ในครอบครองที่ตัวจำเลยอีกจำนวน 1 หลอดนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในลักษณะต่างกัน ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ , ๗ , ๘ , ๑๕ , ๖๖ , ๖๗ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ และนับโทษจำเลยต่อกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๓๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้นกับคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน ๑,๐๐๐ บาท แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง , ๖๖ วรรคหนึ่ง , ๖๗ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๕ ปี และความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๖ ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๓๗๖/๒๕๔๑ (ที่ถูก ๒๓๗๖/๒๕๔๒) ของศาลชั้นต้น ธนบัตรของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์เบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้วางแผนล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยโดยนำธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๑ ฉบับ ไปถ่ายสำเนาเอกสารและลงบันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี แล้วมอบให้สายลับนำไปใช้ล่อซื้อเมแอมเฟตามีนจากจำเลย เมื่อทำการส่งมอบสิ่งของให้กันแล้ว จำเลยไหวทันจึงหลบหนี แต่เจ้าพนักงานตำรวจตามไปจับกุมตัวไว้ได้ จากการตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๑ ฉบับ ที่ใช้ล่อซื้อและเฮโรอีนจำนวน ๑ หลอด ในกระเป๋าเสื้อของจำเลย เมื่อนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑๐ เม็ด ที่ได้จากสายลับมาให้จำเลยดู จำเลยยอมรับว่าเป็นของจำเลยที่ได้จำหน่ายให้แก่สายลับ ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน ๑๐ เม็ด และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับไปทั้งหมด ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยพบว่ายังมีเฮโรอีนอยู่ในครอบครองที่จำเลยอีกจำนวน ๑ หลอด นั้น แสดงว่า จำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในลักษณะต่างกัน ถือได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง (เดิม) , ๖๖ วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) , ๖๗ (ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๔ ปี สำหรับความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกรรมหนึ่งนั้น จำคุก ๑ ปี รวมเป็นจำคุก ๕ ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๓๗๖/๒๕๔๒ ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙.