คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2481

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขายฝากโรงเรือนซึ่งปลูกบน+ที่มีโฉนดแผนที่ต้องไปทำสัญญากันณหอทะเบียนที่ดินมิฉนั้นเป็นโมฆะโจทก์รับซื้อฝากโรงเรือน+จากจำเลย ภายหลังจำเลยได้เอาโรงเรือนรายนี้ไป+สัญญาขายให้ผู้อื่นเป็นการ+โจทก์ แม้จะปรากฎว่าสัญญาขาย+ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะทำไม่+แบบก็ตาม โจทก์ก็ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาอันเป็นการฉ้อฉล+ได้

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาขายฝากโรงเรือนซึ่งปลูกอยู่ในที่หลวงให้แก่โจทก์โดยไปทำสัญญากันที่อำเภอที่ดินรายนี้เป็นที่มีโฉนดแล้ว ครั้นต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ขายโรงเรือนรายนี้ให้แก่จำเลย ที่ ๒ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองหาว่าสมคบกันกระทำการฉ้อฉลโจทก์จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญษซื้อขายซึ่งจำเลยทั้งสองทำขึ้นนั้นเสีย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะเพราะการซื้อขายไม่ได้ทำที่หอทะเบียนที่ดิน เมื่อประเด็นสำคัญฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิแล้วก็ต้องพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะโจทก์ฟ้องในฐานเป็นเจ้าของกรรมสิทธิไม่ใช่ฐานเจ้าหนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการฉ้อฉลนั้น
ศาลฎีกาตัดสินว่าโรงเรือนรายนี้ปลูกอยู่ในที่ดินที่มีโฉนดแล้ว เมื่อสัญญาขายฝากไม่ได้ทำที่หอทะเบียนที่ดิน สัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อพิเคราะห์ดูฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฎว่าฟ้องในฐานเป็นเจ้าของกรรมสิทธิตรงกันข้ามโจทก์ได้ฟ้องโดยชัดเจนว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาซื้อขายโรงเรือนรายนี้โดยฉ้อฉลและในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็ขอให้เพิกถอนนิติกรรมของจำเลยทั้งสองเสีย ที่ศาลชั้นต้นยกประเด็นว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่จึงชอบแล้วและเมื่อปรากฎตามข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองสนิทชิดชอบกันโดยจำเลยที่ ๒ รู้ดีว่าจำเลย ที่ ๑ +++++++++

Share