แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์มีความว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสัญญาซื้อขาย แม้จะไม่ได้ระบุโดยตรงว่าให้ฟ้องเรียก ค่าเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลา แต่ก็ได้ความว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำ สัญญาเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลากันโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกัน ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ไม่ปรากฏว่าได้มีการทำสัญญาเช่าซื้อ รายอื่นอีก สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประกอบคำมั่นว่าจะขายถือได้ว่าเป็นซื้อขายทรัพย์สินอย่างหนึ่ง จึงฟังได้ว่าโจทก์ ได้มอบอำนาจ ให้ฟ้องจำเลยทั้งสองเกี่ยวแก่การซื้อขายเครื่องตู้เย็นแช่ปลาแล้วผู้รับมอบอำนาจจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
องค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นโจทก์จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น พ.ศ. 2501 เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นองค์การของรัฐแม้โจทก์จะดำเนินการให้เช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ แต่ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์อำนวยบริการแก่รัฐและประชาชน ในการอุตสาหกรรมห้องเย็นเป็นหลักสำคัญ ตามมาตรา 6 (1)แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น พ.ศ. 2501 จึงมิใช่บุคคลที่ดำเนินการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่า ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (6)อายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงมิใช่มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลาไปจากโจทก์รวม ๓ เครื่อง ราคา ๕๒,๘๐๐ บาท ๖๔,๐๐๐ บาท และ ๖๔,๐๐๐ บาท ตามลำดับ จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้องวดแรกให้โจทก์แล้วโดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ทั้งสามฉบับ จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ทั้งหมดเป็นเงิน ๑๖๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๒๖๘,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงิน๑๖๘,๘๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ใครนำคดีมาฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลาและค้างชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตามฟ้องจริง คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ใครมาฟ้องคดีนี้ สัญญาเช่าซื้อรายนี้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย สัญญาค้ำประกันก็ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายด้วยฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๒๒,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๑๖๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงินที่ค้างชำระแต่ละงวดรวม ๓๐ งวด ตามสัญญาเช่าซื้อทั้งสามฉบับนับแต่วันผิดนัดแต่ละงวดจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องไม่เกิน ๑๐๐,๘๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่าตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ มีความว่า โจทก์โดยนายสนั่น ร่วมรักษ์ ผู้อำนวยการขอมอบอำนาจให้นายสิชฌน์ ชัฏสุวรรณเป็นผู้รับมอบอำนาจโดยให้ผู้รับมอบอำนาจทำการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งในข้อหาผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุโดยตรงว่าให้นายสิชฌน์ ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระค่าเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลาก็ดี แต่ก็ได้ความว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อตู้เย็นแช่ปลากัน โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ ไม่ปรากฏตามทางนำสืบของจำเลยที่ ๑ ว่าได้มีการทำสัญญาเช่าซื้อกับรายอื่นอีก คงมีคำของจำเลยที่ ๒ ผู้เดียวว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องเรื่องซื้อขายปลา แต่ก็เป็นคำกล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าทรัพย์ประกอบคำมั่นว่าจะขาย ถือได้ว่าเป็นซื้อขายทรัพย์สินอย่างหนึ่ง จึงฟังได้ว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวของโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสิชฌน์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เกี่ยวแก่การซื้อขายเครื่องตู้เย็นแช่ปลาตามคำรับของจำเลยทั้งสอง นายสิชฌน์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
สำหรับปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นองค์การของรัฐ แม้โจทก์จะดำเนินการให้เช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ แต่ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ อำนวยบริการแก่รัฐและประชาชนในการอุตสาหกรรมห้องเย็นเป็นหลักสำคัญตามมาตรา ๖ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น พ.ศ. ๒๕๐๑ โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ดำเนินการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๖) ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ดังนั้นอายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงมิใช่มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๔ เพราะผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิแต่เพียงริบทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อและเรียกค่าใช้ทรัพย์หรือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้นในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นแห่งคดีไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน