คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5662/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเบิกความในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่า จำเลยทราบอยู่แล้วว่า บ้านที่โจทก์นำยืดเป็นของบิดาจำเลย แสดงว่าจำเลยรู้มาแต่แรกแล้วว่า บ้านไม่ใช่ของจำเลย การที่จำเลยนำบ้านดังกล่าวประกันเงินกู้โจทก์โดยระบุในสัญญากู้ว่าเป็นบ้านของจำเลย จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินและส่งมอบเงินที่กู้ให้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ปัญหาอายุความความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่าบ้านที่จำเลยนำไปประกันเงินกู้โจทก์นั้นเป็นบ้านของ จำเลยหรือของบิดาจำเลย จึงต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อคดีร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลจึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเบิกความในคดีที่นายสุลัยมานบิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ว่า จำเลยทราบว่าบ้านที่มีการยึดทรัพย์ในคดีนี้เป็นบ้านของนายสุลัยมานผู้ร้อง แสดงว่าจำเลยรู้มาแต่แรกแล้วว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ของจำเลย จำเลยนำบ้านดังกล่าวไปประกันเงินกู้โจทก์โดยระบุในสัญญากู้ว่าเป็นบ้านของจำเลยแท้จริง จึงเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โจทก์เบิกความว่าถ้ารู้ว่าบ้านหลังที่จำเลยเอามาประกันเงินกู้ไม่ใช่บ้านของจำเลย โจทก์จะไม่ให้จำเลยกู้เงินไป การที่จำเลยหลอกลวงว่าบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลย แสดงเจตนาทุจริตของจำเลยว่าต้องการให้โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินและส่งมอบเงินที่กู้ให้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าการที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดสำหรับคดีนี้ จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงในคดีที่นายสุลัยมานร้องขัดทรัพย์ว่า บ้านที่จำเลยนำไปเป็นประกันเงินกู้โจทก์ เป็นบ้านของจำเลยหรือของนายสุลัยมาน จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุดแล้ว ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีร้องขัดทรัพย์เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๘ โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ก่อนคดีร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share