คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5661/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ หรือมีการแบ่งโอนที่ดินกันเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ อันเป็นความสำคัญในเรื่องขอให้เปิดทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 และ1350 ฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็นในเรื่องทางจำเป็น โจทก์เพียงอ้างว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกเกิน 10 ปี จนได้ภารจำยอม ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า ทางพิพาทเป็นภารจำยอมหรือไม่เท่านั้นเมื่อได้ความว่า ทางพิพาทมิใช่ทางภารจำยอม ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและบังคับให้จำเลยที่ 1รื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทให้แก่โจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 4617 ตำบลชุมแสง อำเภอสตึกจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยทั้งสาม โจทก์ใช้ทางกว้าง 3 เมตร ยาว 25 เมตร โดยประมาณเดินผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลากว่า 20 ปี จนได้ภารจำยอมแล้ว ต่อมาเมื่อต้นปี 2538 จำเลยทั้งสามปิดทางดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และจดทะเบียนภารจำยอมทางพิพาท หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ 3 ทาง รวมทั้งทางพิพาทซึ่งโจทก์และบิดามารดาถือวิสาสะในความเป็นญาติเดินเข้าออก จึงไม่เป็นภารจำยอมหรือทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คำขออื่นให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทเพื่อให้โจทก์ใช้ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ตามฟ้องหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นที่โจทก์ใช้เป็นทางเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะตามสภาพความเป็นจริง จนโจทก์ได้สิทธิในการใช้ทางดังกล่าวตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาท จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่หรือมีการแบ่งโอนที่ดินกันเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้อันเป็นความสำคัญในเรื่องขอให้เปิดทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 และ 1350 เช่นนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีประเด็นในเรื่องทางจำเป็นฟ้องโจทก์เพียงอ้างว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกเกิน 10 ปีจนได้ภารจำยอมแล้วประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า ทางพิพาทเป็นภารจำยอมหรือไม่เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทางพิพาทมิใช่ทางภารจำยอม ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและบังคับให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทให้แก่โจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น และเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share