แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจได้รับความเสียหาจากการถูกจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจ เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมไม่ได้คุ้มครองบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ดังนั้น ถึงแม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อบทกฎหมายดังกล่าวก็ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยผู้หนึ่ง โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาฐานนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดฉะเชิงเทราจำเลยได้ลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ซึ่งพิมพ์จำหน่ายในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีข้อความว่า “หากได้รับความไว้วางใจ กระผมขอสละเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไว้เพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานชาวแปดริ้ว และสาธารณกุศลสืบไป โปรดให้โอกาสกระผมได้รับใช้พี่น้องชาวแปดริ้ว และประเทศชาติ อาทิตย์ อุไรรัตน์ เลขาธิการพรรคกิจประชาคม” “คำมั่นสัญญา หากได้รับความไว้วางใจกระผมขอสละเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้เพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานชาวแปดริ้วและสาธารณกุศลสืบต่อไป โปรดให้โอกาสกระผมรับใช้พี่น้องชาวแปดริ้วและประเทศชาติ อาทิตย์ อุไรรัตน์ เลขาธิการพรรคกิจประชาคม ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 1” การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเสนอให้เงินและผลประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่บุตรหลานของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเป็นนิติบุคคล สมาคม มูลนิธิวัด สถาบันการศึกษา หรือ สถานสงเคราะห์อื่นใด ซึ่งเป็นหน่วยงานเกี่ยวกับสาธารณกุศล โดยจำเลยมีเจตนาจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่จำเลย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35, 84 และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา35, 84 จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงแม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายดังที่โจทก์กล่าวอ้าว กฎหมายดังกล่าวก็บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจจะได้รับความเสียหายจากการถูกจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจ อันเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม ไม่ได้คุ้มครองโจทก์โดยตรงเป็นพิเศษแต่อย่างใดถ้าหากการกระทำของจำเลยเป็นความผิดก็ต้องถือว่ากระทำความผิดต่อรัฐไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4)
พิพากษายืน