แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าหนี้ร่วมกันแม้จะเข้าชื่อเป็นโจทก์ฟ้องไม่ครบทุกคนก็ยังมีอำนาจฟ้องลูกหนี้ได้
ย่อยาว
คดีนี้ได้ความว่าสามีจำเลยได้กู้เงินบิดาโจทก์ไป ๓๐๐๐ บาท บิดาโจทก์แลสามีจำเลยต่างได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว โจทก์ทั้ง ๓ คนเป็นผู้รับมฤดกบิดา จำเลยผู้จัดการมฤดกแลผู้รับมฤดกของสามีจำเลย ได้ทำหนังสือให้โจทก์ยอมรับสภาพหนี้สินของสามีโดยลงชื่อโจทก์ทั้ง ๓ เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งในเวลานั้นโจทก์ที่ ๒ อยู่ต่างประเทศ ต่อมาจำเลยไม่ใช้หนี้เมื่อถึงกำหนด จึงลงชื่อโจทก์ทั้ง ๓ เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ โดยโจทก์ที่ ๑ ได้ส่งไปไว้ความมาให้โจทก์ที่ ๒ แต่ไม่ปรากฏว่าได้ลงชื่อต่อหน้าเจ้าพนักงานโดยถูกต้องหรือไม่ แลยังได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ ๒ จัดการทรัพย์สมบัติตลอดจนการฟ้องร้องคดีด้วย
ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกาอ้างประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๘๕๑-๗๙๘-๒๐๕-๑๙๔ กับ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๑๒๕ ขึ้นตัดฟ้องแลว่าสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่าตาม ม.๘๕๑ คดีนี้ก็มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายรับผิดอยู่แล้ว แลไม่ต้องพิจารณาตาม ม.๗๙๘ ต่อไป ส่วนตาม ม.๑๙๔ มูลหนี้ก็ปรากฏแต่ดั้งเดิมเป็นลำดับมา หาใช่ปราศจากมูลหนี้ไม่ แลหนี้ก็ถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยก็ยังมิได้ชำระ มิได้แสดงว่าไม่ต้องรับผิดชอบตาม ม.๒๐๕ แต่อย่างใด แลเห็นว่าตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง ม. ๑๒๕ แม้โจทก์ที่ ๒ จะมิได้ลงชื่อในใบไว้ความแต่งทนายให้ถูกต้องก็ดี ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์เสียไป เพราะโจทก์ที่ ๑ แลที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ร่วม ยังมีอำนาจฟ้องเรียกเงินรายนี้ได้โดยฐานเป็นเจ้าหนี้ร่วมส่วนการจะเอาไปแบ่งกันอย่างไรระวางโจทก์ทั้ง ๓ เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง