แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินของลูกหนี้ซึ่งล้อมรั้วรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตต์ที่ช่องโจทก์เมื่อเจ้าพนักงานขายทอดตลาดจำเลยเป็นผู้รับประมูลซื้อไว้ได้เมื่อปรากฎว่าในการนำยึดทรัพย์นี้ จำเลยมุ่งหมายแต่จะยึดฉะเพาะทรัพย์ของลูกหนี้เท่านั้น ดังนี้จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิที่ดินของโจทก์ด้วย แม้โจทก์จะไม่ว่ากล่าวอย่างไรเสียแต่ในชั้นแรกก็ตามการยึดที่ดินที่มีโฉนดแผนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องนำเอาโฉนดที่ดินนั้นมาแล้วแจ้งการยึดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินทราบ
ย่อยาว
ได้ความว่าโจทก์มีที่ดินแปลงหนึ่งโฉนดที่ ๑๖๗ ส.น้องชายโจทก์ได้ซื้อที่ดิน ๒ แปลง โฉนดที่ ๑๖๕ และ ๗๔๓๓ อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ แล้ว ส.ได้ปลูกเรือนล้อมรั้วลงในที่ของ ส.และกินเข้าไปในที่ของโจทก์บางส่วนโจทก์ทราบก็มิได้ว่ากล่าวอย่างไร ต่อมาประมาณ ๗ ปี ส.แพ้ความ ล.จำเลย ๆ ได้นำเจ้าพนักงานยึดที่ดินบ้านเรือนของ ส.ในบริเวณรั้วทั้งหมด “แล้วประกาศขาย โจทก์ทราบก็มิได้คัดค้าน จึงได้ขายทอดตลาดในที่สุดจำเลยซื้อได้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อเรือนและกำแพงที่ล้ำเข้าไปในที่ของโจทก์
ศาลชั้นต้นว่าจำเลยซื้อไว้จากการขายทอดตลาดโดยสุจริต ควรได้กรรมสิทธิจึงให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ว่าตามคำขอของจำเลยที่ขอยึดทรัพย์ ส.ได้ระบุที่ดินบ้านเรือนเป็นสิ่ง ๆ ไป หาได้ระบุถึงที่รายนี้ไม่ จำเลยขอยึดฉะเพาะทรัพย์ของ ส.เท่านั้น การที่เจ้าพนักงานกล่าวถึงรั้วและกำแพงนั้นแม้ที่ดินของโจทก์เข้ามารวมอยู่ก็ต้องถือว่าเป็นการเข้าใจผิดทั้งเจ้าพนักงานก็ตั้งใจจะยึดฉะเพาะที่ดินของ ส.เท่านั้น ดังได้ตอบกับทนายของโจทก์ไปเมื่อเวลายึด อนึ่งการยึดที่ดินที่มีโฉนดเช่นนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องปฏิบัติตามประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๓๐๔ กล่าวคือจะต้องนำเอาโฉนดสำหรับที่ดินนั้นมาแล้วแจ้งการยึดให้ลูกหนี้ และเจ้าพนักงานที่ดินทราบ แต่เจ้าพนักงานผู้ยึดในคดีนี้หาได้ปฏิบัติตามนี้ไม่ จึงเห็นว่าที่ดินนี้มิได้ถูกยึดและขายไป จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี