แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยรู้อยู่ว่าผู้เสียหายอยู่ในบ้าน หากกระสุนปืนถูกผู้เสียหายอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้เสียหายได้ ทั้งวิถีกระสุนปืนที่จำเลยจ้องยิงไปนั้นเป้าหมายอยู่บริเวณเก้าอี้ที่ผู้เสียหายนั่งดูเครื่องรับโทรทัศน์อยู่ในขณะที่จำเลยพบเห็นผู้เสียหายในครั้งแรกที่จำเลยเข้าไปในบ้าน ระดับวิถีกระสุนปืนก็อยู่ในระนาบแนวเดียวกับที่ผู้เสียหายนั่งอยู่บนเก้าอี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยเล็งเป้าหมายของวิถีกระสุนปืนไปยังที่จำเลยคาดหมายว่าผู้เสียหายจะกลับมานั่งเก้าอี้ดูเครื่องรับโทรทัศน์เหมือนเดิมที่จำเลยพบเห็นในครั้งแรกหากแต่บังเอิญผู้เสียหายยังไม่ได้กลับไปนั่งเก้าอี้เดิมเท่านั้นจึงทำให้กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงไม่บรรลุผล จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนพกขนาด 11 มม. ไม่มีหมายเลขทะเบียนประจำอาวุธปืนจำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาด 11 มม. จำนวน 1 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะ ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยเปิดเผย ไม่มีเหตุสมควร ไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงประทุษร้ายนายมนูญ คล้ายเกิด ผู้เสียหายจำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่าแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91,33, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80 ให้จำคุก10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางยุพิน รักษา ภริยาผู้เสียหายและพี่สาวจำเลยพยานโจทก์ว่าจำเลยมาที่บ้านพูดคุยกันอยู่ที่ชุดรับแขกแต่จำเลยมีอาการเมาสุรา พยานจึงบอกให้จำเลยกลับไปนอนที่บ้านเมื่อจำเลยออกจากบ้านแล้ว ขณะพยานกำลังจะปิดประตูหน้าบ้านจำเลยใช้อาวุธปืนจ่อที่ปากประตูบ้านจ้องไปทางเครื่องรับโทรทัศน์พยานบอกให้ผู้เสียหายหลบไปที่โต๊ะ มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แล้วจำเลยก็ขึ้นรถยนต์กลับไป กระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกประตูห้องของบุตรสาว ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายนั่งดูวีดีโออยู่ในบ้าน จำเลยมาที่บ้าน ผู้เสียหายจึงไปพูดคุยกับจำเลยที่ชุดรับแขกซึ่งอยู่อีกแห่งหนึ่ง จำเลยมีอาการเมาสุราพูดจาซ้ำซากไปมาจึงให้จำเลยกลับไปก่อนแล้วให้มาพูดกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นจำเลยออกจากบ้านไปขณะนางยุพินกำลังปิดประตูบ้านได้ร้องบอกให้ผู้เสียหายหลบ แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายแต่ทะลุประตูห้องบุตรสาวเข้าไปถูกตู้เสื้อผ้า ตามแผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายแสดงสถานที่เกิดเหตุหมาย จ.2 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยรู้อยู่ว่าผู้เสียหายอยู่ในบ้าน หากกระสุนปืนถูกผู้เสียหายอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตของผู้เสียหายได้ ทั้งวิถีกระสุนปืนที่จำเลยจ้องยิงไปนั้นเป้าหมายอยู่บริเวณเก้าอี้ที่ผู้เสียหายนั่งดูเครื่องรับโทรทัศน์อยู่ในขณะที่จำเลยพบเห็นผู้เสียหายในครั้งแรกที่จำเลยเข้าไปในบ้านระดับวิถีกระสุนปืนตามที่ปรากฏในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายแสดงสถานที่เกิดเหตุ ภาพที่ 2 และที่ 3 หมาย จ.2 ก็เห็นได้ว่าอยู่ในระนาบแนวเดียวกับที่ผู้เสียหายนั่งอยู่บนเก้าอี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยเล็งเป้าหมายของวิถีกระสุนปืนไปยังที่จำเลยคาดหมายว่าผู้เสียหายจะกลับมานั่งเก้าอี้ดูเครื่องรับโทรทัศน์เหมือนเดิมที่จำเลยพบเห็นผู้เสียหายในครั้งแรก หากแต่บังเอิญผู้เสียหายยังไม่ได้กลับไปนั่งเก้าอี้ที่เดิมเท่านั้น จึงทำให้กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่บรรลุผลจำเลยจึงย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย…”
พิพากษายืน