คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยโฆษณาหลอกลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเพื่อขายข้อสอบที่จำเลยเขียนขึ้นเองเพื่อให้นักศึกษาที่ซื้อข้อสอบจากจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นข้อสอบจริงที่จะออกสอบ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไป จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 คงมีความผิดตามมาตรา 341 เท่านั้น
จำเลยกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะนิติศาสตร์ยังไม่สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะสวมครุยวิทยฐานะเพื่อแสดงให้ผู้พบเห็นเชื่อว่าจำเลยสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว การที่จำเลยสวมเสื้อครุยปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงถ่ายภาพแล้วนำภาพถ่ายดังกล่าวมาตั้งไว้บนโต๊ะที่จำเลยขายข้อสอบ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514 มาตรา 48

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๓,๓๘๕, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖)พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. ๒๕๑๔ มาตรา๔๘ และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่๕๕๐๕/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓, ๓๔๕, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. ๒๕๑๔ มาตรา ๔๘ เรียงกระทงลงโทษโดยลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา ๓๔๓ จำคุก ๔ ปี ลงโทษฐานใช้ครุยวิทยฐานะปริญญาโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. ๒๕๑๔ จำคุก ๖ เดือนลงโทษฐานกีดขวางทางสาธารณะโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๘๕ ปรับ ๕๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับ จัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานฉ้อโกงประชาชนและฐานใช้ครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่มีสิทธิ ของกลางทั้งหมดคืนจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและใช้ครุยวิทยฐานะปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่มีสิทธิจะใช้หรือไม่นั้น โจทก์มีนางสาวมิตตา ศรีพอ เบิกความว่า พบจำเลยอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงกำลังขายข้อสอบซึ่งเป็นข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จำเลยบอกพยานว่าเป็นข้อสอบที่ได้มาจากรุ่นน้องที่ทำงานอยู่กับมหาวิทยาลัยรามคำแหงจำเลยมีกระเป๋าหนังวางไว้บนโต๊ะ ๑ ใบ เห็นมีรูปถ่ายของจำเลยสอดอยู่ที่กระเป๋าโดยรูปถ่ายของจำเลยสวมเสื้อครุยปริญญาตรีนิติศาสตร์บันฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหง นายวิชัย วงศ์ทอง ลูกจ้างของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเบิกความว่า ขณะที่ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมงานมาบอกว่ามีคนขายข้อสอบอยู่หน้ามหาวิทยาลัย พยานไปที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเห็นจำเลยกำลังขายข้อสอบชุดวิชา แอลเอ ๓๓๑ กับแอลเอ ๔๐๘ จำเลยพูดประกาศโฆษณาว่าเป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค ๒ แน่นอน พลตำรวจสุรัตน์ ศรีเรืองกับพลตำรวจสมเกียรติ ผ่องเกศ เบิกความว่า ร้อยตำรวจโทสุทธินาท สุดยอดสั่งให้ไปสังเกตการณ์หน้ามหาวิทยาลับรามคำแหงเพราะอาจารย์ชูศักดิ์แจ้งว่ามีคนขายข้อสอบอ้างว่าเป็นข้อสอบที่จะใช้ออกสอบในภาค ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๒๕ (น่าจะเป็น ๒๕๒๖) พยานทั้งสองไปพบจำเลยโฆษณาขายข้อสอบอยู่ ๒ วิชา จำเลยว่าข้อสอบที่ขายนั้นจำเลยได้มาจากอาจารย์ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้ เป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค ๒ ไม่กี่วันข้างหน้านั้น พยานซื้อข้อสอบมาคนละ ๑ ชุด ระหว่างสังเกตการณ์อยู่มีนักศึกษาซื้อข้อสอบจากจำเลย ๓ – ๔ รายแล้ว และเห็นภาพถ่ายของจำเลยในชุดสวมเสื้อครุยติดอยู่ที่กระเป๋าวางอยู่บนโต๊ะ ร้อยตำรวจโทสุทธินาท สุดยอด และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ก็เบิกความว่า นายชูศักดิ์เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสอนวิชากฎหมายด้วย มีนักศึกษามาแจ้งนายชูศักดิ์ว่าข้อสอบวิชาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๑ หรือแอลเอ ๓๓๑ รั่วเสียแล้ว มีคนเอาไปประกาศจำหน่ายอยู่หน้ามหาวิทยาลัย นายชูศักดิ์จึงให้นายวิชัยกับพวกไปสังเกตการณ์ประมาณ ๑๐นาที นายวิชัยกับพวกมารายงานว่ามีผู้จำหน่ายข้อสอบวิชาดังกล่าวจริง นายชูศักดิ์จึงร้องเรียนต่อร้อยตำรวจโทสุทธินาทว่ามีบุคคลจำหน่ายข้อสอบ ซึ่งจะใช้สอบในปีการศึกษา ๒๕๒๖ ภาค ๒ เห็นว่าพยานโจทก์ส่วนมากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความจริง โดยเฉพาะนางสาวมิตตาซึ่งช่วยจำเลยขายข้อสอบด้วย ก็เบิกความไว้อย่างชัดเจนว่า จำเลยบอกว่าเป็นข้อสอบที่ได้มาจากรุ่นน้อง จำเลยไม่ได้บอกว่าเป็นเอกสารหรือคำถามที่เคยออกเป็นข้อสอบมาก่อนดังที่จำเลยเบิกความ และเอกสารหมาย จ.๑ กับ จ.๒ ที่จำเลยรับว่าจำเลยเขียนและเจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยก็มีลักษณะเป็นคำถามคล้ายข้อสอบ โดยเฉพาะเอกสารหมาย จ.๒ ยังเขียนไว้ที่หัวกระดาษว่าข้อสอบประจำปี ๒๕๒๖ ภาค ๒ มีการเปลี่ยนแนวคำถามนิดหน่อย โดยจำเลยเขียนด้วยลายมือของจำเลยเองเพื่อให้นักศึกษาซื้อข้อสอบจากจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นข้อสอบจริงที่จำเลยได้มาจากรุ่นน้องดังที่จำเลยบอกนางสาวมิตตา แม้นายปิ่น ดีปานแก้ว พยานโจทก์อีกปากหนึ่งจะเบิกความว่า ขณะที่ไปซื้อข้อสอบตามที่นายวิชัยให้ไปซื้อ จำเลยไม่ได้โฆษณาขายข้อสอบดังกล่าว แต่พยานปากนี้ก็ไปพบจำเลยคนละเวลากับนายวิชัย จึงไม่เป็นการหักล้างพยานอื่นของโจทก์ ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องต้องกันฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยโฆษณาหลอกลวงแก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเพื่อขายข้อสอบที่จำเลยเขียนขึ้นเองว่าเป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค ๒ ของปีการศึกษา ๒๕๒๖ แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไป จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ คงมีความผิดตามมาตรา ๓๔๑เท่านั้น และภาพถ่ายหมาย จ.๓ ที่จำเลยเบิกความรับว่าเป็นภาพถ่ายของจำเลยใส่ครุยปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจำเลยก็เบิกความรับว่า จำเลยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะนิติศาสตร์แสดงว่า จำเลยยังไม่สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะสวมครุยวิทยฐานะเพื่อแสดงให้แก่ผู้พบเห็นเชื่อว่าจำเลยสำเร็จปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว พยานจำเลยไม่พอหักล้างพยานโจทก์ได้ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จำคุก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. ๒๕๑๔ มาตรา ๔๘ จำคุก ๖ เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๐๐ บาท ของกลางริบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share