คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยเอาความรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นพยานในข้อสำคัญในคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากระทำความผิด แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องในคดีนั้นจนถึงที่สุดไปแล้ว ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยเบิกความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานเท็จนั้นเพราะโจทก์อาจถูกศาลพิพากษาลงโทษได้ ถ้าหากศาลเชื่อคำเบิกความเท็จของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 28

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยหาว่า เบิกความเท็จในคดีซึ่งโจทก์ถูกอัยการฟ้องหาว่าทำและแปรรูปไม้สักที่หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ได้ความว่า ในคดีที่โจทก์ถูกอัยการฟ้องนั้น ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงเห็นว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยฐานเบิกความเท็จนี้ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไปแล้วสั่งหรือพิพากษาตามกระบวนความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นพยานในข้อข้อสำคัญในคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องหาว่ากระความผิด และศาลพิพากษายกฟ้องในคดีนั้นจนถึงที่สุดไปแล้ว ย่อมเห็นได้ชัดอยู่ในตัวว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยเบิกความเท็จนั้น เพราะโจทก์อาจถูกศาลพิพากษาลงโทษได้ ถ้าหากศาลเชื่อคำเบิกความเท็จของจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้ความตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๒๘
พิพากษายืน

Share