แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นกระทรวงเจ้าหน้าที่ ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืนโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาให้ไว้ จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันรับเงินค่าทำขวัญซึ่งได้รับไปแล้ว บัดนี้เกินกำหนดเวลา จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลขับไล่ อ้างสิทธิตามมาตรา 21 ตอนท้ายและมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2477 ดังนี้ แม้จำเลยจะต่อสู้ว่า ฝ่ายโจทก์มิได้เคยใช้ที่ดินแปลงนี้ จนเวลาล่วงพ้น 5 ปีเศษแล้ว จำเลยจึงขอคืน โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยจึงฟ้องคดียังอยู่ในระวห่างพิจารณา ก็ดีศาลก็ย่อมพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินนั้นได้ โดยไม่ต้องสืบพยานฟังข้อต่อสู้ของจำเลยแต่อย่างใด
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีหน้าที่รักษาให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ จำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งต้องถูกเวนคืนตาม พ.ร.บ. ได้รับค่าทำขวัญที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปแล้ว และได้สัญญาว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายในกำหนด ๓ เดือน แต่ครบกำหนด ก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืน
จำเลยต่อสู้ว่า นับแต่วันประกาศใช้พ.ร.บ.เวนคืนที่ดินมาจนเวลาล่วงพ้น ๕ ปีเศษแล้ว โจทก์มิได้เคยใช่หรือกำลังใช้ที่แปลงนี้เลย จำเลยจึงมีหนังสือถึงโจทก์ขอคืนค่าทำขวัญแก่โจทก์และขอคืนที่ดินแก่จำเลย โจทก์ไม่ปฏิบัติตามจำเลยจึงฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่ง คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย และจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้งดการพิจารณาคดีนี้ไว้ รอฟังผลคดีแพ่งนั้นก่อน
ศาลแขวงธนบุรี สั่งยกคำร้องของจำเลย ที่ขอให้งดรอฟังผลคดีของศาลแพ่งเสีย และเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษาให้ จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่ถูกเวนคืน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าหน้าที่ได้จ่ายเงินค่าทำขวัญตามที่ตกลงกันให้จำเลยแล้ว เจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์รายนี้ตามความในมาตรา ๒๑ ตอนท้ายแห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๔๗๗ และมาตรา ๓๓ เมื่อเจ้าหน้าที่ฟ้อง ศาลมีอำนาจสั่งให้ขับไล่จำเลยได้ทันที โดยไม่ตัดสิทธิเจ้าของจะขอร้องในภายหลัง คดีไม่จำต้องสืบพยานหรืองดรอไว้ดังที่จำเลยฎีกา
จึงพิพากษายืน