แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยโฆษณาหลอกลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเพื่อขายข้อสอบที่จำเลยเขียนขึ้นเองเพื่อให้นักศึกษาที่ซื้อข้อสอบจากจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นข้อสอบจริงที่จะออกสอบ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไป จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 คงมีความผิดตามมาตรา 341เท่านั้น จำเลยกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะนิติศาสตร์ยังไม่สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะสวมครุยวิทยฐานะเพื่อแสดงให้ผู้พบเห็นเชื่อว่าจำเลยสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว การที่จำเลยสวมเสื้อครุยปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงถ่ายภาพแล้วนำภาพถ่ายดังกล่าวมาตั้งไว้บนโต๊ะที่จำเลยขายข้อสอบจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514มาตรา 48
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 385, 91 พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหงพ.ศ. 2514 มาตรา 48 และให้นับโทษต่อ ริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 385, 91 พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514มาตรา 48 เรียงกระทงลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343จำคุก 4 ปี ลงโทษฐานใช้ครุยวิทยฐานะปริญญาโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2514จำคุก 6 เดือน ลงโทษฐานกีดขวางทางสาธารณะโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ 25 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานฉ้อโกงประชาชนและฐานใช้ครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่มีสิทธิของกลางทั้งหมดคืนจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและใช้ครุยวิทยฐานะปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่มีสิทธิจะใช้หรือไม่นั้น โจทก์มีนางสาวมิตตา ศรีพอ เบิกความว่า พบจำเลยอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงกำลังขายข้อสอบซึ่งเป็นข้อสอบคณะนิติศาสตร์ จำเลยบอกพยานว่าเป็นข้อสอบที่ได้มาจากรุ่นน้องที่ทำงานอยู่กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง จำเลยมีกระเป๋าหนังวางไว้บนโต๊ะ 1 ใบ เห็นมีรูปถ่ายของจำเลยสอดอยู่ที่กระเป๋าโดยรูปถ่ายของจำเลยสวมเสื้อครุยปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหง นายวิชัย วงศ์ทองลูกจ้างของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเบิกความว่า ขณะที่ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมงานมาบอกว่ามีคนขายข้อสอบอยู่หน้ามหาวิทยาลัย พยานไปที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย เห็นจำเลยกำลังขายข้อสอบชุดวิชาแอลเอ 331กับแอลเอ 408 จำเลยพูดประกาศโฆษณาว่าเป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค2 แน่นอน พลตำรวจสุรัตน์ ศรีเรือง กับพลตำรวจสมเกียรติ ผ่องเกศเบิกความว่า ร้อยตำรวจโทสุทธินาท สุดยอด สั่งให้ไปสังเกตการณ์หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงเพราะอาจารย์ชูศักดิ์แจ้งว่ามีคนขายข้อสอบอ้างว่าเป็นข้อสอบที่จะใช้ออกสอบในภาค 2 ของปี พ.ศ. 2526พยานทั้งสองไปพบจำเลยโฆษณาข้อสอบอยู่ 2 วิชาจำเลยว่าข้อสอบที่ขายนั้นจำเลยได้มาจากอาจารย์ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้ เป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค 2 ไม่กี่วันข้างหน้านั้นพยานซื้อข้อสอบมาคนละ 1 ชุด ระหว่างสังเกตการณ์อยู่มีนักศึกษาซื้อข้อสอบจากจำเลย3-4 รายแล้ว และเห็นภาพถ่ายของจำเลยในชุดสวมเสื้อครุยติดอยู่ที่กระเป๋าวางอยู่บนโต๊ะ ร้อยตำรวจโทสุทธินาท สุดยอดและนายชูศักดิ์ ศิรินิล ก็เบิกความว่านายชูศักดิ์เป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และสอนวิชากฎหมายด้วยมีนักศึกษามาแจ้งนายชูศักดิ์ว่าข้อสอบวิชาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 หรือแอลเอ 331 รั่วเสียแล้ว มีคนเอาไปประกาศจำหน่ายอยู่หน้ามหาวิทยาลัย นายชูศักดิ์ จึงให้นายวิชัยกับพวกไปสังเกตการณ์ประมาณ 10 นาที นายวิชัยกับพวกมารายงานว่ามีผู้จำหน่ายข้อสอบวิชาดังกล่าวจริง นายชูศักดิ์จึงร้องเรียนต่อร้อยตำรวจโทสุทธินาทว่ามีบุคคลจำหน่ายข้อสอบ ซึ่งจะใช้สอบในปีการศึกษา 2526 ภาค 2 เห็นว่าพยานโจทก์ส่วนมากก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความตามความจริงโดยเฉพาะนางสาวมิตตาซึ่งช่วยจำเลยขายข้อสอบด้วย ก็เบิกความไว้อย่างชัดเจนว่าจำเลยบอกว่าเป็นข้อสอบที่ได้มาจากรุ่นน้องจำเลยไม่ได้บอกว่าเป็นเอกสารหรือคำถามที่เคยออกเป็นข้อสอบมาก่อนดังที่จำเลยเบิกความ และเอกสารหมาย จ.1 กับ จ.2 ที่จำเลยรับว่าจำเลยเขียนและเจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยก็มีลักษณะเป็นคำถามคล้ายข้อสอบ โดยเฉพาะเอกสารหมาย จ.2 ยังเขียนไว้ที่หัวกระดาษว่าข้อสอบประจำปี 2526 ภาค 2 มีการเปลี่ยนแนวคำถามนิดหน่อย โดยจำเลยเขียนด้วยลายมือของจำเลยเองเพื่อให้นักศึกษาที่ซื้อข้อสอบจากจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นข้อสอบจริงที่จำเลยได้มาจากรุ่นน้องดังที่จำเลยบอกนางสาวมิตตา แม้นายปิ่น ดีปานแก้วพยานโจทก์อีกปากหนึ่งจะเบิกความว่า ขณะที่ไปซื้อข้อสอบตามที่นายวิชัยให้ไปซื้อ จำเลยไม่ได้โฆษณาขายข้อสอบดังกล่าว แต่พยานปากนี้ก็ไปพบจำเลยคนละเวลากับนายวิชัย จึงไม่เป็นการหักล้างพยานอื่นของโจทก์ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องต้องกันฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยโฆษณาหลอกลวงแก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อขายข้อสอบที่จำเลยเขียนขึ้นเองว่าเป็นข้อสอบที่จะออกสอบในภาค 2 ของปีการศึกษา 2526 แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไปจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 คงมีความผิดตามมาตรา 341 เท่านั้นและภาพถ่ายหมาย จ.3 ที่จำเลยเบิกความรับว่าเป็นภาพถ่ายของจำเลยใส่ครุยปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยรามคำแหง จำเลยก็เบิกความรับว่าจำเลยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงคณะนิติศาสตร์แสดงว่าจำเลยยังไม่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะสวมครุยวิทยฐานะเพื่อแสดงให้แก่ผู้พบเห็นเชื่อว่าจำเลยสำเร็จปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้วพยานจำเลยไม่พอหักล้างพยานโจทก์ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 จำคุก 1 ปี ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหงพ.ศ. 2514 มาตรา 48 จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 500 บาท ของกลางริบ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์