คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5626/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ส่งมอบงานให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รับมอบงานดังกล่าว สำหรับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ปรากฏตามใบแจ้งหนี้ว่าเป็นรายการชำระงวดสุดท้าย ซึ่งเป็นการเรียกเก็บในเวลาภายหลังการส่งมอบงานของโจทก์ เมื่อโจทก์ส่งมอบงานไม่เรียบร้อยชำรุดบกพร่อง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างในงวดสุดท้ายเพื่อให้โจทก์ทำการแก้ไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 599 กรณีมิใช่การยึดหน่วงค่าสินค้าและค่าแรงที่โจทก์ทำเสร็จเรียบร้อยและถึงกำหนดชำระแล้วดังที่โจทก์ฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,716,019.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,675,944.71 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 รับเหมาก่อสร้างบ้านให้แก่นายแม็กซ์เวล ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังจากจำเลยที่ 1 ก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว นายนอริสมอบหมายให้จำเลยที่ 1 จัดหาผู้รับเหมาติดตั้งงานประตู หน้าต่าง และงานมุ้งลวดสปริง จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเฟรมประตู หน้าต่างยูพีวีซีพร้อมกระจกเทมเปอร์และลามิเนต มุ้งลวดสปริงม้วนจากโจทก์ พร้อมกับว่าจ้างโจทก์ติดตั้งงานประตู หน้าต่าง และงานมุ้งลวดสปริง รวม 3 ครั้ง คิดเป็นมูลค่างานจำนวน 5,161,061.33 บาท ต่อมาเมื่อโจทก์ส่งมอบเฟรมประตู หน้าต่างยูพีวีซีพร้อมกระจก และมุ้งลวดสปริงม้วน พร้อมกับติดตั้งงานที่บ้านของนายนอริสแล้วจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์บางส่วน คงค้างชำระเงินค่าจ้างอีกจำนวน 1,633,944.71 บาท โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ส่งมอบงานชำรุดบกพร่อง จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ซ่อมแซมแล้ว แต่โจทก์ไม่ซ่อมแซมให้เรียบร้อยใช้การได้ดี นายนอริส เจ้าของบ้านจึงสั่งจำเลยที่ 1 ไม่ให้จ่ายค่าจ้างที่เหลือให้แก่โจทก์จนกว่าจะซ่อมแซมให้เรียบร้อย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระเงินค่าจ้างที่ค้างชำระให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า งานของโจทก์ที่บกพร่องไม่เรียบร้อยมีเพียงงานมุ้งลวดสปริงซึ่งจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้โต้แย้งเป็นเงินเพียง 200,000 บาท จำเลยทั้งสองควรต้องชำระค่าสินค้าและค่าแรงติดตั้งงานส่วนอื่นที่เสร็จเรียบร้อยและถึงกำหนดชำระให้แก่โจทก์ การที่จำเลยทั้งสองใช้สิทธิยึดหน่วงค่าสินค้าและค่าแรงทั้งหมดไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เห็นว่า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ได้ใช้สัมภาระและอุปกรณ์ที่ไม่ตรงตามที่ตกลงกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ติดตั้งชำรุดบกพร่องหลายประการ อาทิเช่น หน้าต่าง และประตูไม่สามารถล็อกได้ มุ้งลวดสปริงไม่สามารถม้วนได้ตามปกติ เปิดปิดไม่ได้ พื้นได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงใช้สิทธิยึดหน่วงค่าจ้างเพื่อให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า งานของโจทก์ที่บกพร่องไม่เรียบร้อยมีเพียงงานมุ้งลวดสปริงเป็นเงินเพียง 200,000 บาท ดังฎีกาของโจทก์ สำหรับในเรื่องความชำรุดบกพร่องของงานที่ว่าจ้างนั้น นางสาวเพ็ญศิริ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนายไพโรจน์ หัวหน้างานของโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งสองในทำนองเดียวกันว่า ภายหลังส่งมอบงานแล้วเกิดปัญหา จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์เข้าไปแก้ไขงาน โจทก์ส่งพนักงานเข้าไปแก้ไขหลายครั้ง เจือสมกับทางนำสืบของจำเลยทั้งสองที่ว่า งานที่โจทก์ส่งมอบมีความชำรุดบกพร่องทั้งงานประตู หน้าต่าง และมุ้งลวดสปริง และจำเลยทั้งสองไม่เคยรับมอบงานของโจทก์ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์ส่งมอบงานชำรุดบกพร่องหลายรายการ มิใช่เพียงงานติดตั้งมุ้งลวดสปริงดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนการชำระเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์นั้น ปรากฏตามเอกสารสรุปยอดการชำระงวดสุดท้ายว่า รายการงานประตู – หน้าต่าง มูลค่างาน 3,116,903.58 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินไป รวมเป็นเงิน 2,637,450.44 บาท หักภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 50 คงเหลือค้างชำระ 377,498.35 บาท รายการงานมุ้งลวดสปริงม้วน มูลค่างาน 584,927.06 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 จำนวนเงิน 292,463.53 บาท หักส่วนลดพิเศษอีก 42,000 บาท คงค้างชำระ 250,463.53 บาท และรายการงานประตู – หน้าต่าง ส่วนสุดท้าย มูลค่างาน 1,514,009.34 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 จำนวน 458,502.84 บาท หักภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 50 คงเหลือค้างชำระ 1,005,982.83 บาท โจทก์ส่งมอบงานทั้งสามรายการให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รับมอบงานดังกล่าว ทั้งสำหรับจำนวนเงินทั้งสามรายการที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ปรากฏตามใบแจ้งหนี้ของโจทก์สามฉบับว่า เป็นรายการชำระงวดสุดท้ายซึ่งเป็นการเรียกเก็บในเวลาภายหลังการส่งมอบงานของโจทก์ทั้งสิ้น เมื่อโจทก์ส่งมอบงานไม่เรียบร้อยชำรุดบกพร่อง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างในงวดสุดท้ายดังกล่าว เพื่อให้โจทก์ทำการแก้ไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 599 กรณีมิใช่การยึดหน่วงค่าสินค้าและค่าแรงที่โจทก์ทำเสร็จเรียบร้อยและถึงกำหนดชำระแล้วดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share