คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5623/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้รับโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยไม่ได้แสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล แม้อุทธรณ์ของจำเลยมิใช่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิด แต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาแก่จำเลยก็ตาม ก็ต้องอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคสาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 92, 276, 277 ทวิ, 288, 309, 310, 364,365 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3, 4 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวม19 ปี และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 341,979 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 15 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยอ้างว่า คดีนี้มีเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวนมากและมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ประสงค์จะฎีกา ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคสาม ประกอบมาตรา 216 วรรคสอง กรณีตามคำพิพากษาจำเลยต้องรับโทษจำคุก และจำเลยมิได้ถูกคุมขัง จำเลยต้องมาแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลขณะยื่นฎีกา เมื่อคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาและหลบหนีการรับโทษ จึงไม่มีเหตุให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลย และยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาจำเลย และยกอุทธรณ์คำสั่งจำเลยชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้อุทธรณ์ของจำเลยมิใช่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นความผิด แต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาแก่จำเลยก็ตาม ก็ต้องอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 32) พ.ศ.2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วในขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่ตามคำพิพากษาจำเลยต้องรับโทษจำคุกหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้นและจำเลยไม่ได้ถูกคุมขัง จำเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์” ดังนี้ การที่จำเลยต้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้รับโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยไม่ได้แสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาล จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลย และยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share