แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เสียหายกับพวกขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าไปยังบริเวณที่จำเลยและ ว. หลบซ่อนอยู่โดยจำเลยและ ว. มิได้ก่อเหตุขึ้นก่อน ย่อมเป็นเหตุทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากกว่ามีเจตนาประทุษร้ายจำเลยและ ว. อันเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิกระทำการป้องกันเพื่อให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับพวกมีอาวุธร้ายแรงอื่นใดอีก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกย่อมไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันตัวของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นอันเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีและพาอาวุธปืน ส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 17 เดือน ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายอนุชิต ผู้เสียหายไปร่วมดื่มสุรากับนายกุ้ง กับพวกรวมประมาณ 10 คน ที่บ้านของนายกุ้ง สักพักนายกุ้งขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปรับภริยาที่สี่แยกคลินิกกลางหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ต่อมานายกุ้งขับรถจักรยานยนต์กลับมาที่บ้านและบอกว่าถูกคนร้ายใช้หนังสติ๊กยิง ผู้เสียหายกับพวกจึงพากันเดินออกจากบ้านของนายกุ้งเพื่อช่วยกันตามหาคนร้ายโดยมุ่งหน้ามาทางห้องพักของจำเลย โดยบางคนถือขวดสุราบางคนถือไม้ติดตัวไปด้วย พร้อมกับตะโกนส่งเสียงดังขว้างปาขวดและไม้มาตลอดทาง เมื่อถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายเห็นเงาคนอยู่ในบริเวณป่ามันสำปะหลัง ผู้เสียหายกับพวกจึงขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าไปในบริเวณดังกล่าว แล้วจำเลยกับนายวายุร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงออกมาจากป่ามันสำปะหลัง 2 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซ้าย ทำให้ผู้เสียหายตกเลือดในช่องท้อง 1,000 มิลลิลิตร มีบาดแผลทะลุที่กะบังลมซ้ายและตับกลีบซ้าย บาดแผลฉีกขาดที่ผนังชั้นนอกของกระเพาะอาหารและตับอ่อนส่วนปลาย ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส จากนั้นจำเลยและนายวายุวิ่งหลบหนีไป นายวันชนะ เพื่อนของผู้เสียหายกับพวกพาผู้เสียหายไปส่งที่โรงพยาบาลประโคนชัย หลังเกิดเหตุพันตำรวจโทประวิตร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรประโคนชัยกับพวกเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปที่เกิดเหตุและยึดปลอกกระสุนปืนซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ส่วนร้อยตำรวจเอกพรชัย รองสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจภูธรประโคนชัยกับพวกเชิญจำเลยและนายวายุมาสอบถามข้อเท็จจริงเบื้องต้น แล้วจำเลยและนายวายุพาร้อยตำรวจเอกพรชัยกับพวกไปตรวจยึดอาวุธปืนสั้นแบบหักลำกล้อง 1 กระบอก อาวุธปืนปากกา 1 กระบอก และกระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 7 นัด ซึ่งจำเลยและนายวายุนำไปซุกซ่อนไว้เป็นของกลาง จากนั้นร้อยตำรวจเอกพรชัยนำตัวจำเลยและนายวายุพร้อมของกลางส่งมอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีเป็นคดีนี้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่ผู้เสียหายกับพวกพากันเดินออกจากบ้านของนายกุ้งไปยังที่เกิดเหตุ ก็เพราะก่อนเกิดเหตุมีคนร้ายใช้หนังสติ๊กยิงนายกุ้งพวกของผู้เสียหาย เนื่องจากไม่พอใจที่นายกุ้งขับรถจักรยานยนต์เสียงดัง ผู้เสียหายกับพวกจึงออกตามหาคนร้ายดังกล่าวโดยผู้เสียหายกับพวกบางคนถือขวดสุราบางคนถือไม้ติดตัวไปด้วย พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายกับพวกออกตามหาคนร้ายมุ่งหน้ามาทางห้องพักของจำเลยพร้อมกับตะโกนส่งเสียงดังขว้างปาขวดและไม้มาตลอดทางเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่จำเลยซึ่งนอนอยู่ในห้องพักกับนายวายุพวกของจำเลยซึ่งนั่งเล่นอยู่ที่ร้านค้าตรงข้ามห้องพักของจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยและนายวายุต้องหลบออกมาแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ในป่ามันสำปะหลัง แม้จำเลยและนายวายุจะนำอาวุธปืนติดตัวออกมาด้วย แต่จำเลยและนายวายุก็มิได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกในทันทีที่เห็นผู้เสียหายกับพวก ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกก็เป็นการยิงสวนออกไปเพราะถูกผู้เสียหายกับพวกขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าใส่ก่อน โดยได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ที่ผู้เสียหายกับพวกขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าไปในป่ามันสำปะหลัง เนื่องจากผู้เสียหายเห็นเงาคนในบริเวณดังกล่าว เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับพวกและจำเลยกับนายวายุมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนอันจะเป็นเหตุให้ต้องทะเลาะวิวาทกัน เชื่อว่าการที่จำเลยและนายวายุออกไปซุ่มดูเหตุการณ์โดยนำอาวุธปืนติดตัวไปด้วย ก็เพราะเข้าใจว่าอาจถูกผู้เสียหายกับพวกทำร้ายเอาได้ หาใช่เป็นการตระเตรียมอาวุธปืนเพื่อสมัครใจทะเลาะวิวาทกับพวกผู้เสียหายไม่ การที่ผู้เสียหายกับพวกขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าไปยังบริเวณที่จำเลยและนายวายุหลบซ่อนอยู่โดยจำเลยและนายวายุมิได้ก่อเหตุขึ้นก่อน ย่อมเป็นเหตุทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากกว่ามีเจตนาประทุษร้ายจำเลยและนายวายุ อันเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิกระทำการป้องกันเพื่อให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับพวกมีอาวุธร้ายแรงอื่นใดอีก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกย่อมไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันตัวของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นอันเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิด อย่างไรก็ดีเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าฝ่ายจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายโดยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท จนผู้เสียหายพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งทางคดีอาญาและคดีแพ่ง กรณีมีเหตุอันควรปรานีลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลย โดยให้มีผลไปถึงความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรด้วย แม้จะยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่มีคู่ความผ่ายใดอุทธรณ์ก็ตาม แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เห็นควรลงโทษปรับและคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรก, 69 จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ให้ลงโทษปรับจำเลยฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต 6,000 บาท และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร 4,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 5,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 9 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือนต่อครั้ง ภายในระยะเวลาที่รอการลงโทษ กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3