แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 แล้ว จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเข้าว่าคดีแพ่งอันเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาล ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับ ก. ภายหลังที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 แล้ว จึงเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพราะไม่ได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และ 24 การกู้เงินและการซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 หนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ไม่อาจนำมาขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และมาตรา 94 โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
เมื่อการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 จากโจทก์ รวมทั้งการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ก. ได้กระทำขึ้นหลังจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดแล้ว การกู้ยืมและการซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และ 24 เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม และถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมให้นำบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้จึงต้องรับผิดคืนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ ก. และชำระหนี้ให้จำเลยที่ 3 ไปแทน ก. ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดย ก. ซึ่งเป็นผู้ได้รับเงินที่โจทก์ชำระส่วนหนึ่งไปเป็นค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่จำเลยที่ 3 ได้รับชำระหนี้และไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ ต้องร่วมรับผิดในการคืนเงินแก่โจทก์ด้วย จำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทโดยธรรมของ ก. ต้องรับผิดเพียงไม่เกินทรัพย์มรดกที่ได้รับ สำหรับจำเลยที่ 3 แม้มีส่วนได้รับเงินจากโจทก์แต่ก็เป็นการได้รับเงินที่จ่ายเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 แทน ก. ตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่นิติกรรมที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำขึ้น จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ทั้งเป็นการที่จำเลยที่ 3 ได้รับชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไว้โดยสุจริต และได้ไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ ก. ไปแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดแก่โจทก์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดตามฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 3,578,078.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,327,808.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 3,281,732.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,052,191.10 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 77050 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์และหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 6,830,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันที่ 25 มิถุนายน 2557 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามทั้งสองศาลให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 2 เป็นทายาทโดยธรรมของนายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.1070/2557 แล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2557 แต่หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 1 ได้ขอกู้ยืมเงินจากโจทก์เพื่อซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 77050 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนายกิตติศักดิ์บุตรของจำเลยที่ 2 โดยในวันที่ 25 มิถุนายน 2557 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ตามคำขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่ออุปโภคและบริโภคส่วนบุคคล เป็นเงินรวม 6,830,000 บาท โจทก์มอบเงินที่กู้ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งสั่งจ่ายมอบให้นายกิตติศักดิ์เป็นค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว จำนวนเงิน 3,327,808.90 บาท อีกฉบับหนึ่งสั่งจ่ายมอบให้จำเลยที่ 3 เป็นค่าไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำนวนเงิน 3,052,191.10 บาท จำเลยที่ 3 จึงไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่นายกิตติศักดิ์ทำไว้กับจำเลยที่ 3 แล้วนายกิตติศักดิ์ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวในวันเดียวกัน
กรณีเห็นควรวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 แล้ว จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเข้าว่าคดีแพ่งอันเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาล ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับนายกิตติศักดิ์ภายหลังที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 แล้ว จึงเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพราะไม่ได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และ 24 การกู้เงินและการซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 หนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ไม่อาจนำมาขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91 และมาตรา 94 โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสามคืนเงินกู้ที่นายกิตติศักดิ์และจำเลยที่ 3 ได้รับไปจากโจทก์ในฐานลาภมิควรได้หรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏซึ่งรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์ครั้งดังกล่าวเพื่อนำไปชำระค่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 77050 พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจากนายกิตติศักดิ์ และเนื่องจากนายกิตติศักดิ์ต้องนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 บางส่วนไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้น โจทก์จึงได้มอบเงินที่ให้กู้ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 โดยชำระค่าไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 3 แทนนายกิตติศักดิ์ และชำระเงินค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือให้แก่นายกิตติศักดิ์ไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้นายกิตติศักดิ์จดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้ แต่เมื่อการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 จากโจทก์ครั้งดังกล่าว รวมทั้งการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายกิตติศักดิ์ได้กระทำขึ้นหลังจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดแล้ว การกู้ยืมและการซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่ขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และ 24 เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม และถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้ที่เป็นต้นเหตุให้โจทก์จ่ายเงินตามสัญญากู้เงิน จึงต้องรับผิดคืนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่นายกิตติศักดิ์และชำระหนี้ให้จำเลยที่ 3 ไปแทนนายกิตติศักดิ์ให้แก่โจทก์ทั้งหมด โดยนายกิตติศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ได้รับเงินที่โจทก์ชำระเงินส่วนหนึ่งไปเป็นค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ขายให้แก่จำเลยที่ 1 และได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่จำเลยที่ 3 ได้รับชำระหนี้และไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ต้องร่วมรับผิดในการคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายกิตติศักดิ์ต้องเข้าร่วมรับผิดต่อโจทก์แทนนายกิตติศักดิ์ เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกของนายกิตติศักดิ์ที่จำเลยที่ 2 ได้รับ สำหรับจำเลยที่ 3 แม้จะมีส่วนได้รับเงินจากโจทก์แต่ก็เป็นการได้รับเงินที่จ่ายเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 แทนนายกิตติศักดิ์ตามความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ผู้กู้ ไม่ใช่นิติกรรมที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำขึ้น จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ทั้งเป็นการที่จำเลยที่ 3 ได้รับชำระหนี้ที่มีอยู่จริงไว้โดยสุจริต และได้ทำการไถ่ถอนการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้นายกิตติศักดิ์ไปแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดคืนเงินที่ได้รับไปแก่โจทก์ หนี้ที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดดังกล่าวเป็นหนี้เงิน และเมื่อไม่ปรากฏว่า โจทก์มีการทวงถามให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชำระคืนเงินดังกล่าวก่อนโจทก์จะฟ้องคดี จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในเงินที่ต้องคืนแก่โจทก์ดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคแรก ประกอบมาตรา 224 วรรคแรก และเห็นว่า ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไป
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ในชั้นอุทธรณ์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นพิพากษา เป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดตามฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเงิน 6,380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายกิตติศักดิ์ ที่จำเลยที่ 2 ได้รับ ไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1