แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 มิได้ยกเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น แม้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกามีอำนาจไม่ยกวินิจฉัยให้ตามป.วิ.พ. มาตรา 142(5) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จำเลยที่ 1 อายุ 48 ปี ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนมีเหตุอันควรปรานี ศาลฎีกาให้รอการลงโทษ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางล้วนเอก ฟ้องคดีแทนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันเคลื่อนย้ายบ้าน 1 หลัง เข้าไปปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ ต่อมาเมื่อระหว่างวันที่ 18 ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2531 เวลากลางวันติดต่อกันจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ได้ร่วมกันเข้าไปในที่ดินของโจทก์และร่วมกันปลูกสร้างบ้านเพิ่มเติมอีก 1 หลัง โดยมีเจตนาเข้าไปเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์บางส่วนและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 (2), 83, 84 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ประกอบมาตรา 365(2) จำคุกคนละ 3 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุเพียงว่าให้ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาเรื่องฟ้องขับไล่ออกจากที่ดิน ไม่มีข้อความใดที่ระบุให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสอง การมอบอำนาจจึงเป็นการไม่ชอบ นั้นความข้อนี้จำเลยที่ 1 หาได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นไม่แม้ปัญหาข้อนี้จะเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องอันถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่สำหรับคดีนี้ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัยให้ จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดฐานบุกรุกดังฟ้องโจทก์ นั้น… ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นจึงมีความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยที่ 1 ขอให้รอการลงโทษหรือลงโทษสถานเบา นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 อายุถึง 48 ปีแล้ว ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีเหตุอันควรปรานี จึงให้รอการลงโทษไว้ แต่เห็นควรให้ลงโทษปรับด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.