แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้เสียภาษีก็ชอบที่จะยื่นคำโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และหากจำเลยยังไม่พอใจการชี้ขาดการประเมิน ก็อาจนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคหนึ่งทั้งนี้ จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้น ซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งต่อศาลได้ว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นการไม่ชอบ ในการโต้แย้งนั้น ไม่ว่าผู้รับประเมินจะอยู่ในฐานะโจทก์หรือจำเลย ผู้รับประเมินก็หมดสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีโรงเรือนและเงินเพิ่มจำนวน 2,866,186.59 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 19มกราคม 2528 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความรับกันว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยประจำปี พ.ศ. 2527 แล้วแจ้งการประเมินให้จำเลยนำค่าภาษีรวมทั้งสิ้น 2,605,624.17 บาท ไปชำระแก่โจทก์ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2527 จำเลยยื่นคำร้องต่อโจทก์เมื่อวันที่20 มิถุนายน 2527 ขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ คณะกรรมการซึ่งโจทก์แต่งตั้งได้พิจารณาแล้วให้ยกคำร้องของจำเลยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงแจ้งคำชี้ขาดให้จำเลยชำระค่าภาษีตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินไว้ จำเลยได้รับใบแจ้งคำชี้ขาด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2527 แล้วจำเลยไม่นำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดโจทก์แจ้งให้จำเลยนำค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ค้างชำระจำนวน2,605,625.17 บาท และค่าภาษีที่จำเลยจะต้องเสียเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 43 จำนวน 260,522.42 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น2,866,186.59 บาท ไปชำระแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ก็ชอบที่จะยื่นคำโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และหากจำเลยยังไม่พอใจการชี้ขาดการประเมิน จำเลยก็อาจนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 วรรคหนึ่งทั้งนี้จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามมาตรา 39 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แต่ประการใดเลยเช่นนี้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งต่อศาลได้ว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตามฟ้องเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยฎีกาว่า บทบัญญัติในมาตรา 31 เป็นเรื่องการใช้สิทธิในการฟ้องคดีแต่เพียงอย่างเดียวมิได้หมายความรวมถึงการต่อสู้คดีในฐานะจำเลยด้วย ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธิในการต่อสู้คดีได้เสมอว่าการประเมินภาษีโรงเรือนตามฟ้องไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่งผู้รับประเมินมีสิทธิแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องเพียงวิธีเดียวนั่นคือการนำคดีไปสู่ศาล เมื่อไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ผู้รับประเมินก็หมดสิทธิที่จะโต้แย้งการประเมินไม่ว่าด้วยวิธีใด และไม่ว่าผู้รับประเมินจะอยู่ในฐานะโจทก์หรือจำเลยผู้รับประเมินก็หมดสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกัน คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน