คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้ลักลอบนำสลากกินแบ่งของสหพันธ์รัฐมลายาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยวิธีซ่อนเร้น ด้วยการละเว้นไม่ผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง นั้น ชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงรายละเอียดว่าการผ่านศุลกากรโดยถูกต้องจะต้องทำอย่างไรก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 เป็นบทบังคับให้ผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักร แม้จะเป็นของที่ไม่ต้องเสียอากร ก็ต้องผ่านศุลกากรโดยถูกต้องก่อน
พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2480 มาตรา 11 นั้น เป็นบทลงโทษผู้ทำการขนส่งฝ่าฝืนมาตรา 7 และ 8 จะนำมาปรับแก่กรณีผู้ลักลอบนำของเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ได้
เมื่อจำเลยใช้รถยนต์ของกลางลักลอบขนของซ่อนเร้นเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นความผิดแล้ว แม้ของจะมากน้อยเท่าใดก็ได้ชื่อว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางกระทำผิดด้วยแล้ว
พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2490 มาตรา 3 ที่บัญญัติให้ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นของบุคคลใดและเจ้าของจะได้รู้เห็นในการกระทำผิดด้วยหรือไม่ นั้นขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจลักลอบนำสลากกินแบ่งของสหพันธรัฐมลายา 2,600 ฉบับ ราคา 17,680 บาท และสิ่งของซึ่งต้องเสียภาษีอากร คือตะไบลับมีด 1 อัน ราคา 15 บาท มีดปังตอ 4 เล่ม ราคา60 บาท แผ่นป้ายโลหะ 100 อัน ราคา 200 บาท ขอเหล็ก 20 อัน ราคา 20 บาท รวม 4 สิ่ง ราคา 295 บาท ซึ่งต้องเสียอากร 71.75 บาทกับสิ่งของต้องห้ามมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ คือ ร่มกระดาษ 2 อัน ราคา 10 บาทอากร 6 บาท จากสหพันธ์รัฐมลายาซึ่งเป็นดินแดนต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องและหลีกเลี่ยงไม่เสียอากร โดยมิได้รับอนุญาตสำหรับของต้องห้ามมิให้นำเข้ามาในประเทศโดยซ่อนเร้น บรรทุกมาในรถยนต์คันหมายเลขเอ.เอ.3375 โดยเจตนาฉ้อค่าภาษีรัฐบาล ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร ริบของกลางรวมทั้งรถยนต์

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 32, 34 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 10ให้ปรับ 4 เท่าของราคาสลากกินแบ่งเป็นเงิน 70,720 บาท ปรับ 4 เท่าของราคาตะไบ มีดปังตอแผ่นป้ายโลหะ และขอเหล็กรวมค่าอากรเป็นเงิน1,467 บาท ส่วนข้อหาลักลอบนำร่มกระดาษ 2 คันเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น ผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ด้วย แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ มาตรา 3 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 เดือน ปรับ 5 เท่าราคาสินค้า 50 บาท ยกโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55 คงปรับสถานเดียวรวมปรับทั้งสิ้น72,237 บาท ลดรับกึ่ง มาตรา 78 ปรับ 36,118.50 บาท ไม่ชำระจัดการตามมาตรา 29, 30 ถ้ากักขังให้กักขัง 2 ปี ริบของกลางรวมทั้งรถยนต์ จ่ายรางวัลผู้จับ

นายฟุ้ง เส็งควน ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้คืนรถยนต์ของกลางศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องข้อหาจำเลยนำสลากกินแบ่งเข้ามาไม่สมบูรณ์หากจะผิดก็ผิดพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2480 มาตรา 11ขอให้พิพากษาแก้ และคืนรถยนต์ของกลาง

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า รถยนต์เป็นของผู้ร้อง จำเลยเช่ามา มีของติดตัวมาเล็กน้อยเท่านั้นอันไม่ใช่สินค้า ผู้ร้องไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด ขอให้ศาลไต่สวน และคืนรถยนต์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ฟ้องโจทก์บรรยายรายละเอียดว่า จำเลยลักลอบนำสลากกินแบ่งของสหพันธรัฐมลายาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยวิธีซ่อนเร้น ด้วยการละเว้นไม่ผ่านด่านศุลกากรให้ถูกต้องนั้น ชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพ มิได้หลงข้อต่อสู้ ไม่จำต้องกล่าวรายละเอียดว่าการผ่านศุลกากรโดยถูกต้องจะต้องทำกันอย่างไรด้วย เพราะเป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ฟ้องจึงสมบูรณ์ส่วนที่จำเลยอ้างว่าสลากกินแบ่งเป็นของส่วนตัว ไม่ต้องเสียภาษีไม่ผิดพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 ควรจะผิดพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2480 มาตรา 11 นั้น ได้พิจารณาพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 แล้ว เห็นว่าเป็นบทบังคับให้ผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักร แม้จะเป็นของที่ไม่ต้องเสียอากรก็ต้องผ่านสุลกากรโดยถูกต้องก่อน เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องการนำสลากกินแบ่งเขามาฟังได้ว่าจำเลยลักลอบซ่อนเร้นเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง ย่อมเป็นผิดตามมาตรา 27 ดังกล่าวและเห็นว่าพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7)พ.ศ. 2480 มาตรา 11 เป็นบทลงโทษผู้ทำการขนส่งที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 7, 8 จำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่ง หากเป็นผู้ลักลอบนำของเข้ามา จึงนำบทบัญญัติดังกล่าวมาปรับไม่ได้ ส่วนรถยนต์ของกลาง กฎหมายมิได้บัญญัติแบ่งไว้ว่ายานพาหนะที่ใช้บรรทุกของเข้ามาจำนวนมากน้อยเท่าใดจึงจะถือว่าเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิด เมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางลักลอบนำของซ่อนเร้นเข้ามาอันเป็นความผิดแล้วก็ได้ชื่อว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางกระทำผิดด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนฎีกาของผู้ร้องนั้น เห็นว่าตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพ.ศ. 2502 มาตรา 20 บัญญัติว่า ให้วินิจฉัยกรณีไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 มาตรา 29 บัญญัติว่า บุคคลจะไม่ต้องรับโทษในทางอาญาเว้นแต่จะได้กระทำการอันกฎหมายซึ่งใช้อยู่ในเวลากระทำนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิดและศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยวางแนวไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ 1011/2505ว่า พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ที่บัญญัติให้ริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นของผู้ใดและเจ้าของจะได้รู้เห็นในการกระทำผิดด้วยหรือไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ และแม้จะเป็นการริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ก็ตาม หากปรากฎภายหลังว่าเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดศาลก็ต้องสั่งคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ผู้ร้องขอคืนรถยนต์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งตามกระบวนความ นอกนี้ยืน เว้นแต่พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 34 ถูกยกเลิกใช้บังคับไม่ได้

Share