คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5615/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

วิธีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พุทธศักราช2482 หรือประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 มีวิธีปฏิบัติอย่างเดียวกัน คือ อาจกระทำโดยออก พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาก็ได้ ดังนั้นเงินค่าทดแทนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76(3) ที่ให้ถือเอาวันที่พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับนั้น จึงต้องหมายถึงกรณีที่มิได้มีการออกพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้า มีการออกพระราชกฤษฎีกาก่อนที่จะออก พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เงินค่าทดแทนที่ให้กำหนดเท่าราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดก็จะต้องเอาราคาในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับตามข้อ 76(1) หรือ (2) แล้วแต่กรณี ทำนองเดียวกันกับเรื่องทรัพย์สินที่จะคำนวณค่าทดแทนตามข้อ 75.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ประมาณปี พ.ศ. 2508ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงเพื่อที่จะสร้างทางหลวงสายธนบุรี-ปากท่อ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 กรกฏาคม 2508ที่ดินของโจทก์บางส่วนอยู่ในเขตที่จะสร้างทางหลวงสายนี้ ในปีพ.ศ. 2515 มีประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ 225 เวนคืนที่ดินที่ใช้เป็นทางหลวงสายธนบุรี-ปากท่อ ที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 12 ไร่99 เศษ 6 ส่วน 10 ตารางวา ถูกเวนคืน จำเลยย่อมจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์ไร่ละ 108,000 บาท แต่โจทก์เห็นว่าไม่ใช่ราคาทรัพย์สินตามธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาด ที่ดินของโจทก์มีราซื้อขายกันในท้องตลาดไร่ละ 200,000 บาท โจทก์ยอมรับค่าทดแทนโดยสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกร้องค่าทดแทนเพิ่มอีกไร่ละ 72,000 บาท เป็นเงิน1,126,750 บาท ที่ดินที่ถูกเวนคืนปลูกต้นจากไว้ โจทก์จึงขอค่าทดแทนสำหรับพืชผลเป็นเงิน 882,000 บาท และค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์ที่เหลือมีราคาลดน้อยลงเป็นเงิน 2,850,000 บาทขอบังคับให้จำเลยชดใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับค่าทดแทนโดยไม่มีเงื่อนไข ที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนไม่มีต้นจาก ราคาที่ดินของโจทก์ส่วนที่เหลือมิได้ลดลง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 1,126,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นสมควรจะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยเสียก่อนในปัญหาเรื่องค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงพิเศษสายธนบุรี-ปากท่อ ซึ่งศาลล่างวินิจฉัยต่างกันมา กล่าวคือ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 จะต้องถือเอาราคาในวันที่ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวง คือวันที่ 10 กรกฏาคม 2508 ราคาไร่ละ 108,000 บาท ส่วนศาลอุทธรณ์เห็นว่า จะต้องถือเอาราคาในวันที่ประกาศใช้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 225 คือวันที่ 18 ตุลาคม 2515 ราคาไร่ละ 200,000 บาทปัญหาที่ศาลล่างวินิจฉัยต่างกันมานี้ เห็นว่าวิธีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะกระทำโดยพระราชบัญญัติทางหลวงพุทธศักราช 2482 มาตรา 41 และมาตรา 56 หรือโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 เรื่อง ทางหลวง ข้อ 63 ข้อ 70และข้อ 78 มีวิธีปฏิบัติอย่างเดียวกันคือ จะต้องกระทำโดยออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แต่ก่อนที่จะออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ทางราชการอาจจะออกหรือตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้และเมื่อทำการสำรวจแล้วยังไม่พร้อมจะออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ก็อาจจะออกหรือตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างไว้ก่อนก้ได้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า การเวนคืนอาจกระทำโดยการออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาก็ได้ ดังนั้น เงินค่าทดแทนตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76(3) ที่ให้ถือเอาวันที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับนั้น จึงต้องหมายถึงกรณีที่มิได้มีการออกพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีการออกพระราชกฤษฎีกาก่อนที่จะออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เงินค่าทดแทนที่ให้กำหนดเท่าราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดก็จะต้องถือเอาราคาในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ตามข้อ 76(1)หรือ (2) แล้วแต่กรณี ทำนองเดียวกันกับเรื่องทรัยพ์สินที่จะคำนวณค่าทดแทนตามข้อ 75 ดังนั้นราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดจะต้องถือเอาราคาในวันประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงคือวันที่ 10 กรกฏาคม 2508 ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมิใช่วันประกาศใช้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 225 คือวันที่18 ตุลาคม 2515 ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share