คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5612/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341, 83 โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย ให้ผู้เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 และพวกเล่นการพนันเพื่อเอาเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเงินเป็นจำนวนมาก ผู้เสียหายถูกหลอกนำเงิน 3,000,000 บาท มาร่วมลงทุนเล่นการพนันโดยจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนาที่จะเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกัน แต่การพนันเป็นเพียงแผนการที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินของผู้เสียหายให้แนบเนียน ทั้งผู้เสียหายก็ไม่มีเจตนาที่จะร่วมเล่นการพนันกับพวกจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ต้น การที่ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกเพื่อเล่นการพนันดังกล่าวเป็นการตกหลุมพรางที่วางไว้ ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเข้าร่วมเล่นการพนันกับพวกจำเลยทั้งสอง ทั้งถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายร่วมเล่นการพนันกับจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันจะเป็นการร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำผิด ผู้เสียหายจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงและพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีร่วมกันหลอกลวงนางสิราวัลย์ ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยจำเลยที่ 1 กับพวกชักชวนผู้เสียหายให้ไปร่วมเล่นการพนันเพื่อเอาเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเงินเป็นจำนวนมากอันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินมากดังที่หลอกลวงและร่วมกับจำเลยที่ 1 หลอกลวงผู้เสียหาย โดยไม่มีเจตนาเล่นการพนันอย่างแท้จริง เป็นเพียงวิธีการที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินมาร่วมลงทุนแล้วจะเอาเงินของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการหลอกลวงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงิน 3,000,000 บาท มาร่วมลงทุน แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว เหตุเกิดที่จังหวัดระยอง ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้ จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3367/2547 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งต่างรู้จักกันมาก่อนสมคบกันวางแผนเพื่อตบตาผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้นในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำนำเรื่องเล่นการพนันมาอ้าง โดยจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนาเล่นกันจริง ๆ เพียงแต่เป็นแผนการที่นำมาใช้เพื่อหลอกลวงเอาเงินผู้เสียหายให้แยบยลขึ้นเท่านั้น รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความที่ถือได้ว่า ผู้เสียหายมีเจตนาจะให้จำเลยทั้งสองกับพวกได้รับโทษจึงเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3367/2547 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายสมัครใจนำเงินมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 กับพวกเพื่อเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงนางสิราวัลย์ ผู้เสียหาย ให้ผู้เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 และพวกเล่นการพนันเพื่อเอาเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมีเงินเป็นจำนวนมาก ผู้เสียหายถูกหลอกนำเงิน 3,000,000 บาท มาร่วมลงทุนเล่นการพนันโดยจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้มีเจตนาที่จะเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกัน แต่การพนันเป็นเพียงแผนการที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินของผู้เสียหายให้แนบเนียน ทั้งผู้เสียหายก็ไม่มีเจตนาที่จะร่วมเล่นการพนันกับพวกจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ต้น การที่ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกเพื่อเล่นการพนันเป็นการตกหลุมพรางที่วางไว้ ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเข้าร่วมเล่นการพนันกับพวกจำเลยทั้งสอง ทั้งถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายร่วมเล่นการพนันกับจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันจะเป็นการร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำผิด ผู้เสียหายจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า นางสิราวัลย์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง เนื่องจากความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับและคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี คู่ความจึงอาจต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ จึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในปัญหาดังกล่าว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองต่อไป

Share