แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ่ายเช็คให้เป็นหลักฐานป้องกันการโกงค่านายหน้า โดยตกลงกันว่า ถ้าการซื้อขายที่ดินไม่ตกลงกันก็เป็นอันยกเลิกเช็คนั้น ดังนี้ หากต่อมาไม่มีการซื้อขายที่ดินกัน สิทธิของนายหน้าอันจะได้เงินค่านายหน้าตามเช็คก็เป็นอันเลิกไปตามข้อสัญญาด้วย ฉะนั้น หากมีการนำเช็คไปขึ้นเงินและปรากฏว่าจำเลยมีเงินฝากบัญชีไม่พอจ่ายก็ดี จำเลยก็ยังไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑๙ มีนาคม  ๒๕๐๓  เวลากลางวันถึงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๐๓ เวลากลางวัน  จำเลยโดยทุจริตได้ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น  และขณะออกเช็คก็ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้  โดยจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา จำกัด  ลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๐๓  จ่ายเงินสด ๒๐,๐๐๐ บาท  แล้วส่งมอบเช็คดังกล่าวเป็นการชำระหนี้แก่นางสำเภา  แล้วในวันนั้นนางสำเภา  ได้ส่งมอบเช็คดังกล่าวแก่โจทก์เป็นการชำระหนี้  และในวันเดียวกันนั้น  โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็ค  ได้นำเช็คไปขอรับเงิน  แต่ธนาคารไม่ชำระเงิน  อ้างว่าไม่มีเงินฝากในบัญชีพอ  ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗  มาตรา ๓
จำเลยให้การว่า  เช็คนั้นออกให้แก่นางสำเภา  เป็นค่านายหน้าซื้อขายที่ดิน  โดยมีเงื่อนไขว่า  ถ้าไม่มีการซื้อขายเป็นอันยกเลิกนั้น  โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย  และได้เช็คไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ในวันที่จำเลยลงชื่อสั่งจ่ายเช็ค  จำเลยมีเงินฝากอยู่ในธนาคารไม่พอกับจำนวนเงินที่สั่งจ่าย  จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗  มาตรา ๓  จำคุก ๒ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อเป็นประกันการโกงค่านายหน้าซื้อขายที่ดิน  มิใช่เพื่อชำระเงินค่านายหน้าโดยตรง  ซึ่งถ้าไม่มีการซื้อขายที่ดิน  เงินค่านายหน้าตามเช็คนั้นก็ใช้ไม่ได้  การที่จำเลยออกเช็คจึงไม่ใช่เพื่อเจตนาจะไม่ใช้เงิน  การกระทำของจำเลยไม่ผิดทางอาญา  พิพากษากลับ  ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  เดิมจำเลยได้ให้นางสำเภาเป็นนายหน้าติดต่อขอซื้อที่ดินของหลวงแจ่มวิชาสอน  โดยตกลงกันว่า  ถ้าขอลดราคาที่ดินลงได้ก็จะให้เป็นค่านายหน้า  ครั้นหลวงแจ่มยอมขายที่ดินให้ราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท  จำเลยจึงได้ออกเช็คเงินสดลงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๐๓  สั่งจ่ายเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท  มอบแก่นางสำเภา  ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นทนายความได้รับเช็คมาจากนางสำเภาสลักหลังให้แล้วนำไปขึ้นเงิน  แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  ส่วนจำเลยนั้นต่อมาไม่มีเงินชำระราคาที่ดิน  หลวงแจ่มฯ  กับจำเลยจึงเลิกสัญญากัน  พฤติการณ์ของจำเลยเป็นดังนี้จะมีผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่  ปรากฏตามคำนางสำเภาพยานโจทก์ว่า  การจ่ายค่านายหน้าด้วยเช็คของจำเลยนั้น ได้ตกลงกันว่าให้จำเลยออกเช็คให้ไว้เป็นหลักฐานเรื่องให้ค่านายหน้า  เพื่อป้องกันการโกง  และจำเลยได้พูดกับนางสำเภาว่า  ถ้าการซื้อขายที่ดินรายนี้ไม่ตกลงกัน  เช็คฉบับนี้ก็เป็นอันยกเลิก  ฉะนั้น  การที่สัญญาที่จำเลยทำไว้กับเจ้าของที่ดินต้องระงับไปไม่มีการซื้อขาย  สิทธิของนางสำเภาอันจะได้เงินค่านายหน้าตามเช็คของจำเลยก็เป็นอันเลิกแล้วกันไปด้วยตามข้อสัญญา  กรณีเห็นได้ชัดว่า  จำเลยออกเช็คให้แก่นางสำเภาก็เพื่อประกันค่านายหน้าของนางสำเภา
โดยเข้าใจกันว่า  จะบังคับการจ่ายเงินตามเช็คได้ก็ต่อเมื่อนางสำเภามีสิทธิได้ค่านายหน้าตามเช็คนั้น  เพราะมีการซื้อขายที่ดินกันแล้ว  ฉะนั้น  การที่โจทก์นำเช็คของจำเลยที่นางสำเภาสลักหลังให้ไปขึ้นเงินต่อธนาคาร  แต่ปรากฏว่าจำเลยมีเงินฝากบัญชีไม่พอจ่าย  จึงเป็นการว่ากล่าวเอากับเช็คของจำเลยโดยยังไม่มีอำนาจกระทำได้  จเลยย่อมไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ (๑)  (๒)  และ (๓)  ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๖ – ๖๐๐/๒๕๐๔  อัยการ  นายทองดี  อิศรกุล  โจทก์ นายเกษม  รัตนาวดี  จำเลย  ร้อยตรีเกษมฯ  โจทก์  นางทองดี  อิศรกุล จำเลย
อนึ่ง  การที่นางสำเภาสลักหลังโอนเช็คฉบับนี้ให้แก่โจทก์  ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นการยืมมือโจทก์มาจัดการแก่จำเลยแทนนางสำเภา  ซึ่งรู้อยู่ดีว่าตนไม่มีสิทธิที่จะได้เงินค่านายหน้าตามเช็คนั้น  ไม่น่าเชื่อว่านางสำเภาจะเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่จริง  จึงสลักหลังเช็คนั้นชำระหนี้ให้  กล่าวคือ  เรื่องหนี้นั้นทำกันไว้เป็นหนังสือ  ซึ่งโจทก์ว่า  เมื่อได้รับเช็คจากนางสำเภาใช้หนี้แล้วก็คืนหนังสือกู้ให้แก่นางสำเภาไป  แต่นางสำเภาว่า  หนังสือกู้นั้นโจทก์ได้ฉีกเสียต่อหน้านางสำเภา  ดังนี้  ทั้งตามเหตุผลโจทก์ก็เป็นทนายความ  เพียงได้รับเช็คมายังไม่ทันรู้ว่าจะขึ้นเงินจากธนาคารได้เพียงใดหรือไม่  ก็คืนหรือทำลายเอกสารการกู้เงินของนางสำเภาเสียแล้ว  ทำให้ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับเช็คสลักหลังให้โดยสุจริต  พฤติการณ์แห่งคดีลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ไม่ได้
พิพากษายืน

