แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าคำเตือนที่ 14/2541 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นคำสั่งตามมาตรา 124 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมี อำนาจฟ้อง แต่โจทก์อุทธรณ์ว่คำเตือนที่ 14/2541 ออกตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 77 ไม่ได้ออกตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 139 และมาตรา 140 ซึ่ง เท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่า คำเตือนที่ 14/2541 ไม่ใช่คำสั่งหรือคำวินิจฉัยให้โจทก์ ปฏิบัติตามไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอน จึงเป็น อุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31โจทก์แพ้คดีต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ ส. ลูกจ้างโจทก์ตามคำเตือนที่ 14/2541 แต่โจทก์กลับมาอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เป็นการ ใช้สิทธิอุทธรณ์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ปัญหาการใช้ สิทธิอุทธรณ์โดยไม่สุจริตเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ประกาศกระทรวงมหาดไทยมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ไว้และมิได้ใช้ คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัตไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1) จึงต้อง ใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต”ตามพจนานุกรมคือ ความประพฤติชั่วโกง ไม่ซื่อตรงส. เป็นลูกจ้างรายวันของจำเลยได้รับค่าจ้างวันละ 190 บาทละทิ้งงานไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แม้ว่าโจทก์จะต้องจ่ายค่าจ้างในระยะเวลาที่ ส.ละทิ้งงานแต่ก็เกิดโทษแก่โจทก์น้อย ยังไม่พอถือว่า ส. มีความประพฤติชั่วโกง ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2541 จำเลยทั้สองมีคำเตือนที่ 14/2541 ถึงโจทก์ผู้เป็นนายจ้างให้จ่ายค่าชดเชย ขอให้เพิกถอนคำเตือนของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองออกคำเตือนที่ 14/2541 โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองเป็นพนักงานตรวจแรงงานได้ออกคำเตือนที่ 14/2541 ลงวันที่ 2 กันยายน 2541 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่นายไสว พลบุตรศรี ลูกจ้างโจทก์เป็นเงิน 17,100 บาท ภายใน 5 วันนับแต่วันรับคำเตือน และวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ออกคำเตือนในขณะนั้นตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ข้อ 5 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 77 ได้ออกคำเตือนที่ 14/2541 ลงวันที่ 2 กันยายน 2541 แต่ก่อนออกคำเตือนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มีผลใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103จึงมีผลเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และในบทเฉพาะกาล มาตรา 165 (ที่ถูกมาตรา 164) มีข้อยกเว้นเพียงคำร้องที่ยังไม่ถึงที่สุดหรือคดีที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับที่จะต้องบังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน หลังจากกฎหมายใหม่ใช้บังคับ จึงเป็นคำเตือนที่ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 124 โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 139, 140 ถือได้ว่ามีการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 นับแต่เมื่อคำเตือนไปถึงโจทก์ ซึ่งก่อให้เกิดมูลคดีขอให้เพิกถอนคำเตือนเมื่อจำเลยทั้งสองสั่งให้โจทก์ชำระค่าชดเชยแก่นายไสว แม้ในการยื่นฟ้องคดีโจทก์จะไม่ได้นำเงินตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งจำเลยทั้งสองมาวางต่อศาลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 แต่เมื่อศาลแรงงานกลางสั่งให้โจทก์นำเงินมาวางต่อศาลภายใน 3 วัน โจทก์ก็ปฏิบัติตาม ศาลจึงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อ กรณีถือได้ว่าศาลใช้อำนาจขยายระยะเวลาให้แล้ว การที่นายไสวละทิ้งหน้าที่เพียง 1 ชั่วโมง แม้จะหลีกเลี่ยงการทำงานเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ่ายค่าจ้างโดยไม่ได้รับประโยชน์จากการทำงานตอบแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรง ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นเพียงหนังสือภายในมิใช่หนังสือเตือนตามกฎหมาย กรณียังถือไม่ได้ว่านายไสวกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้วในการออกคำเตือนให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่นายไสว คำเตือนที่ 14/2541 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า คดีนี้ต่างไปจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2524 ที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างไม่ใช่คำสั่งหรือคำวินิจฉัยให้นายจ้างปฏิบัติตาม ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธินายจ้างที่จะมาฟ้องต่อศาลได้ เพราะปัจจุบันมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ใช้บังคับ เท่ากับโจทก์บรรยายฟ้องว่าคำเตือนที่ 14/2541 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นคำสั่งตามมาตรา 124 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แต่โจทก์อุทธรณ์ว่าคำเตือนที่ 14/2541 ออกตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 77 ไม่ได้ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 139 และ 140 ซึ่งเท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าคำเตือนที่ 14/2541 ไม่ใช่คำสั่งหรือคำวินิจฉัยให้โจทก์ปฏิบัติตาม ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอน จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31อีกทั้งการที่โจทก์แพ้คดีต้องจ่ายค่าชดเชยแก่นายไสว พลบุตรศรี ลูกจ้างโจทก์ตามคำเตือนที่ 14/2541 ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางแล้วโจทก์กลับมาอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องอันจะมีผลให้โจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์โดยไม่สุจริตไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จะอ้างความไม่สุจริตมาอุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ปัญหาการใช้สิทธิอุทธรณ์โดยไม่สุจริตเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5), 246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่านายไสวจงใจละทิ้งงานและจะเอาค่าจ้างในระหว่างที่ละทิ้งงานศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่ายังถือไม่ได้ว่านายไสวกระทำการทุจริตต่อหน้าที่เป็นการวินิจฉัยผิดจากความหมายคำว่า “โดยทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1)นั้น เห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 47(1) นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต”ไว้และมิได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1)จึงต้องใช้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรมคือ ความประพฤติชั่ว โกงไม่ซื่อตรง การที่นายไสวซึ่งเป็นลูกจ้างรายวันของจำเลยได้รับค่าจ้างวันละ 190 บาท ละทิ้งงานไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แม้ว่าโจทก์จะต้องจ่ายค่าจ้างในระยะเวลาที่นายไสวละทิ้งงาน แต่ก็เกิดโทษแก่โจทก์น้อย ยังไม่พอถือว่านายไสวมีความประพฤติชั่ว โกงไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน