คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5601/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 10 (2) นั้น จะต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย เป็นคดีที่โจทก์มิได้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดิน 2 แปลงไว้แก่โจทก์เพื่อประกันหนี้ในมูลหนี้อื่นที่โจทก์ฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง และอยู่ระหว่างบังคับคดี แต่โจทก์มิได้นำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายด้วย ดังนี้ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน ไม่ต้องปฎิบัติตามมาตรา 10 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ไม่มีการอุทธรณ์จึงยุติไปตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลาง คงมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้เฉพาะคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 23740/2541 ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริษัทนารายณ์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ร่วมกันชำระเงิน 1,462,085.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2540 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.50 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 89784 ตำบลทุ่งสองห้อง (ลาดโตนด) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.5 หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน คำนวณหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 2,019,079.56 บาท กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 10 (2) หรือไม่ เห็นว่า เจ้าหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 10 (2) จะต้องเป็นเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 6 ได้บัญญัติความหมายของเจ้าหนี้มีประกันว่า หมายถึง เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง จำนำ หรือสิทธิยึดหน่วง หรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ เช่นนี้เจ้าหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในมูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมาฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย เมื่อปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ 23740/2541 มาฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย และปรากฏในคำพิพากษาดังกล่าวว่าโจทก์มิได้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด โจทก์จึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันในมูลหนี้ที่นำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่า โจทก์มีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือที่ดินโฉนดเลขที่ 93963 และ 213567 ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปจำนองเพื่อประกันหนี้ในมูลหนี้อื่นที่โจทก์ได้ดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการบังคับคดี แต่โจทก์มิได้นำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายด้วย ดังนี้ โจทก์จึงไม่ใช่เป็นเจ้าหนี้มีประกัน ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 10 (2) อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น.
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share