แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 กับพวกมาก่อนไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศ.และสิบตำรวจตรีพ.ยังตรงกันว่า เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุปรากฏว่าประตูหน้าต่างบ้านนั้นปิดทั้งหมด ซึ่งหากในวันนั้นมีการ เปียแชร์ดังที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ ก็ไม่น่าจะต้องมีการปิด ประตูหน้าต่างกันแต่อย่างใด ทั้งเมื่อร้อยตำรวจเอกศ. เรียกให้เปิดประตูหน้าบ้าน จำเลยที่ 3 ก็วิ่งหนีออกไป ทางหลังบ้าน โดยในมือกำ ถุงพลาสติกบรรจุเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และพวกของจำเลยที่ 3 อีก 2 คน ต่างก็มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุ อยู่ในถุงพลาสติกคนละ 1 ใบ โดยเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกครอบครองไว้นั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับเมทแอมเฟตามีน จำนวน 300 เม็ด ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดง และหลอด พลาสติกสีเหลืองที่วางอยู่บริเวณพื้นกลางบ้านที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนที่จับได้ที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั้น เป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกแต่ละคนแบ่งแยก ไปจากเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดงและใน หลอดพลาสติกสีเหลือง การที่จำเลยที่ 3 กับพวกแบ่งแยกใส่ ถุงพลาสติกถุงละ 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ก็เพื่อความสะดวก ในการจำหน่าย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันมี เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 328 เม็ดหนัก 31.25 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ 10 เม็ด ปฏิเสธว่ามิได้มีเมทแอมเฟตามีนตามจำนวนในฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพจำนวน 5 เม็ด ส่วนที่เหลืออีก 323 เม็ด เป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 8 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 3 กับพวกได้พร้อมกับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 328 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 3.094 กรัม คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีร้อยตำรวจเอกศิริชัยครูประเสริฐวัฒนา และสิบตำรวจตรีไพรสน รุ่งเรือง ผู้จับกุมจำเลยที่ 3 กับพวกเบิกความว่า ก่อนจับกุมจำเลยที่ 3 กับพวกประมาณ 2 สัปดาห์ ร้อยตำรวจเอกศิริชัยสืบทราบว่าบ้านที่เกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่าอยู่นั้น มีการขายเมทแอมเฟตามีน ในวันเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกศิริชัยได้ขอหมายค้นจากพันตำรวจตรีวสันต์ แก้วแสงเอก และนำกำลังตำรวจรวม 10 คน ไปยังบ้านที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงปรากฏว่าบ้านที่เกิดเหตุปิดประตูหน้าต่าง ร้อยตำรวจเอกศิริชัย จึงให้สิบตำรวจตรีไพรสนอ้อมไปทางหลังบ้าน ส่วนร้อยตำรวจเอกศิริชัยปีนขึ้นไปดูภายในบ้านทางช่องลมหน้าบ้าน เห็นจำเลยที่ 3 กับพวกนั่งรวมกันอยู่บนพื้นกลางบ้าน ต่อจากนั้นร้อยตำรวจเอกศิริชัยได้ลงมาแล้วเรียกให้คนในบ้านเปิดประตู ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 วิ่งไปเปิดประตูหลังบ้านเพื่อหลบหนี จึงถูกสิบตำรวจตรีไพรสนซึ่งดักรออยู่จับตัวไว้ได้ หลังจากนั้นพวกของจำเลยที่ 3 ได้เปิดประตูหน้าบ้านให้ร้อยตำรวจเอกศิริชัยกับพวกเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่าบริเวณพื้นกลางบ้านที่จำเลยที่ 3 กับพวกนั่งล้อมวงกัน มีถุงพลาสติกสีแดง 1 ใบ หลอดพลาสติกสีเหลืองมีฝาปิด 1 หลอด วางอยู่ ซึ่งสิบตำรวจตรีไพรสนเปิดออกดูต่อหน้าจำเลยที่ 3 กับพวก พบเมทแอมเฟตามีนสีเหลืองส้มเม็ดกลมแบนอยู่ในถุงพลาสติกสีแดง 200 เม็ด และอยู่ในหลอดพลาสติกยาวประมาณ 10 เซนติเมตร 100 เม็ด ตรวจค้นตัวจำเลยที่ 3 พบในมือข้างขวากำ ถุงพลาสติกมีเมทแอมเฟตามีนลักษณะเดียวกัน 5 เม็ด และพบเมทแอมเฟตามีนที่มีลักษณะเดียวกันที่กระเป๋ากางเกงจำเลยที่ 1 จำนวน 10 เม็ด และกระเป๋าเสื้อของจำเลยที่ 2 จำนวน 5 เม็ด กับยังพบเมทแอมเฟตามีนอีก 8 เม็ด ตกอยู่ที่พื้นห้องน้ำด้วย ร้อยตำรวจเอกศิริชัยกับพวกจึงควบคุมจำเลยที่ 3 กับพวกพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่ง เห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 กับพวกมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่า จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศิริชัยและสิบตำรวจตรีไพรสนยังตรงกันว่าเมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุปรากฏว่า ประตูหน้าต่างบ้านนั้นปิดทั้งหมด ซึ่งหากในวันนั้นมีการเปียแชร์กันดังที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ ก็ไม่น่าจะต้องมีการปิดประตูหน้าต่างกันแต่อย่างใดทั้งเมื่อร้อยตำรวจเอกศิริชัยเรียกให้เปิดประตูหน้าบ้านจำเลยที่ 3 ก็วิ่งหนีออกไปทางหลังบ้านโดยในมือกำ ถุงพลาสติกบรรจุเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และพวกของจำเลยที่ 3 อีก 2 คน ต่างก็มีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกคนละ 1 ใบโดยเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกครอบครองไว้นั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 300 เม็ด ที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดง และหลอดพลาสติกสีเหลืองที่วางอยู่บริเวณพื้นกลางบ้านที่เกิดเหตุ น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนที่จับได้ที่ตัวจำเลยที่ 3 กับพวกนั้น เป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 3 กับพวกแต่ละคนแบ่งแยกไปจากเมทแอมเฟตามีนที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีแดงในหลอดพลาสติกสีเหลือง การที่จำเลยที่ 3 กับพวกแบ่งแยกใส่ถุงพลาสติกถุงละ 5 เม็ด หรือ 10 เม็ด ก็เพื่อความสะดวกในการจำหน่าย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองถึง 328 เม็ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมาก ดังนั้น โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงแก่จำเลยที่ 3 จึงเป็นคุณมากอยู่แล้ว ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 3 ในประการอื่นล้วนแต่ไม่เป็นสาระแก่คดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน