คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5598/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/30 นำมาใช้กับการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการด้วย ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจสั่งให้เจ้าหนี้งดออกเสียงในการประชุมเจ้าหนี้ได้ แต่การงดออกเสียงในที่ประชุมคงมีผลเฉพาะในที่ประชุมเจ้าหนี้ซึ่งเป็นการดำเนินการชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นหามีผลถึงชั้นพิจารณาของศาลด้วยไม่ เพราะในการพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของศาลตามมาตรา 90/57 ให้ศาลพิจารณาข้อคัดค้านของเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงตามมาตรา 90/30 ซึ่งไม่ได้ลงมติยอมรับแผนด้วย การที่ศาลล้มละลายกลางรับคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้รายที่ 285 ไว้พิจารณาก่อนที่จะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการจึงชอบด้วยมาตรา 90/57
พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/27 และมาตรา 90/60 แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ที่จะให้มูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ทุกประเภทซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเข้ามาอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการทั้งหมด ไม่ว่าหนี้นั้นจะเป็นหนี้ภาษีอากรใด ๆ ตามประมวลรัษฎากรหรือตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ก็ตามทั้งนี้เพื่อให้หนี้สินของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วได้รับการชำระสะสางภายใต้กรอบของแผนฟื้นฟูกิจการให้เสร็จสิ้นไป หากรณีใดซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ต้องการให้หนี้ภาษีอากรมีสิทธิเหนือหนี้สามัญหรือประสงค์จะคุ้มครองหนี้ภาษีอากรเป็นพิเศษก็จะบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง ดังนั้น เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิหรือคุ้มครองแก่หนี้ภาษีอากรที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นกรณีพิเศษแล้ว ภายใต้บังคับมาตรา 90/57(2) ประกอบมาตรา 130(6) สิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 285 จึงมีฐานะเช่นเดียวกับเจ้าหนี้อื่น ทั้งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ หมวด 3/1 บัญญัติถึงผลของการที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนไว้เป็นการเฉพาะโดยชัดแจ้งแล้วตามมาตรา 90/60วรรคหนึ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 56 และ 77 มาใช้โดยอนุโลมได้
แผนฟื้นฟูกิจการเป็นเพียงข้อตกลงร่วมกันของบรรดาเจ้าหนี้ ลูกหนี้เกี่ยวกับวิธีการในการชำระหนี้ ตลอดจนการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้โดยอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ หมวด 3/1 การที่เจ้าหนี้อุทธรณ์คัดค้านว่าแผนฟื้นฟูกิจการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 และมิใช่กรณีต้องดำเนินการตามมาตรา 264 เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามเงื่อนไขในพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/58ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าบทบัญญัติมาตรา 90/58 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แผนฟื้นฟูกิจการจึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลย่อมใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบด้วยแผนดังกล่าวได้
ในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางเจ้าหนี้ได้ยกปัญหาว่า แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา 90/42หรือไม่ ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไม่เป็นไปตามลำดับกฎหมายว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายหรือไม่ และแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่มีรายละเอียดชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า เมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่มาในคำร้องคัดค้านแล้ว เมื่อปัญหาทั้งสามข้อเป็นเหตุสำคัญเกี่ยวกับการพิจารณาแผนการที่ศาลล้มละลายกลางไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตามข้อกำหนดคดีล้มละลายฯ
กระบวนการฟื้นฟูกิจการหลังจากที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับแผนด้วยมติพิเศษตามมาตรา 90/46 แล้ว กฎหมายได้กำหนดให้แผนต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลอีกขั้นหนึ่งตามบทบัญญัติในส่วนที่ 8 ว่าด้วยการพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ จึงเป็นการกำหนดให้ศาลเข้ามามีบทบาทในทางธุรกิจเพื่อจะได้วินิจฉัยตรวจสอบในการให้ความเห็นชอบแผนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และมอบดุลพินิจให้ตรวจสอบว่าสมควรให้ความเห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ ศาลจึงมีอำนาจตรวจสอบถึงเนื้อหาของแผนตลอดจนโอกาสความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามแผน มิใช่พิจารณาแต่เพียงตรวจสอบรายการต่าง ๆ ว่ามีครบถ้วนตามรูปแบบหรือไม่ แผนฟื้นฟูกิจการของผู้ทำแผนมีรายละเอียดในแผนตั้งแต่ส่วนที่ 2 เหตุผลที่ทำให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ถึงส่วนที่ 15 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายรวมตลอดทั้งเอกสารที่แนบมากับแผน แผนฟื้นฟูกิจการจึงมีรายการและรายละเอียดครบถ้วนตามมาตรา 90/42 ประกอบมาตรา 90/58(1)และวรรคสองแล้ว
การฟื้นฟูกิจการมีบทบัญญัติเฉพาะเรื่องกลุ่มเจ้าหนี้ไว้ตามมาตรา 90/42 ทวิ(3)ว่าเจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจจัดได้เป็นหลายกลุ่ม และมาตรา 90/42 ตรี กำหนดว่าสิทธิของเจ้าหนี้ที่อยู่กลุ่มเดียวกันต้องได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน ดังนั้นหนี้อื่น ๆ ตามมาตรา 130(7) มิใช่ว่าเจ้าหนี้ในลำดับเดียวกันจะต้องแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อผู้ทำแผนได้จัดให้เจ้าหนี้ไม่มีประกันซึ่งอยู่ในลำดับตามมาตรา 130(7) ออกเป็น 7 กลุ่ม จัดให้เจ้าหนี้รายที่ 287 อยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 4 ข้อเสนอของผู้ทำแผนในการชำระหนี้และกำหนดเงื่อนไขในการชำระหนี้ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผลไม่ถือว่าข้อเสนอในการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ไม่มีประกันไม่เท่าเทียมกัน แต่สิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 287 ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 4 ชอบที่จะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน จะนำสิทธิของเจ้าหนี้ไม่มีประกันในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเปรียบเทียบกันไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งให้บริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอร์ปอเรท รีสตรัคเจอร์ริ่ง จำกัด เป็นผู้ทำแผนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าในการประชุมเจ้าหนี้ (คราวที่ได้เลื่อนมา) เมื่อวันที่25 มิถุนายน 2544 เพื่อปรึกษาว่าจะยอมรับแผนหรือไม่หรือจะแก้ไขอย่างไรที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนที่มีการแก้ไขแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 90/46 ขอให้ศาลนัดพิจารณาแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งกำหนดวันพิจารณาแผนให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบโดยชอบแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/56

เจ้าหนี้รายที่ 285 ยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ

เจ้าหนี้รายที่ 287 ยื่นคำร้องคัดค้านและแก้ไขคำร้องคัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ทำแผนปรับปรุงแผนให้ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรมแก่ผู้ร้อง หากไม่อาจทำได้หรือผู้ทำแผนไม่ยอมทำ ขอให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งให้กรมศุลกากรเจ้าหนี้รายที่ 285 งดออกเสียงตามมาตรา 90/30 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เจ้าหนี้รายที่ 285 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงที่จะคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อศาลได้ตามมาตรา 90/57 อย่างไรก็ตามหากศาลเห็นว่าเจ้าหนี้รายที่ 285 มีสิทธิคัดค้านแผนต่อศาล พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 90/26 ประกอบมาตรา 90/27 บัญญัติให้เจ้าหนี้ทุกรายที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ รวมถึงหนี้ภาษีอากรทุกประเภทต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หากเจ้าหนี้ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ เจ้าหนี้ผู้นั้นย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ ดังนั้น หนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการต้องเข้าสู่กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เช่นเดียวกัน มาตรา 90/42 ทวิ, 90/42 ตรี และมาตรา 90/58มิได้บัญญัติเฉพาะเจาะจงให้เจ้าหนี้ภาษีอากรเป็นเจ้าหนี้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดต่างหากจากเจ้าหนี้รายอื่นหรือมีเงื่อนไขยกเว้นไม่ให้เจ้าหนี้ภาษีอากรต้องผูกพันตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ หากกฎหมายประสงค์จะยกเว้นหนี้ภาษีอากรในกรณีใดย่อมต้องบัญญัติไว้ต่างหาก ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 130 และกฎหมายในส่วนคดีฟื้นฟูกิจการกำหนดให้เจ้าหนี้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันต้องได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน การที่ลูกหนี้มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินย่อมอยู่ในภาวะที่ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอชำระให้แก่เจ้าหนี้ได้เต็มจำนวนทุกราย หากไม่มีกฎหมายส่วนคดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ลูกหนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เจ้าหนี้รายที่ 285 ก็ไม่อาจจัดเก็บภาษีอากรจากลูกหนี้ที่อยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวได้ การที่หนี้ภาษีอากรจะต้องถูกตัดหรือปรับลดก็ยังได้รับชำระหนี้มากกว่ากรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย และแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ส่วนที่ 3 ข้อ 4 หน้า 16 มีตารางแสดงรายละเอียดของทรัพย์สินและหนี้สินของลูกหนี้ ณ วันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ส่วนเจ้าหนี้รายที่ 287 ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ค่าแรงงานก่อสร้างซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนคงที่ (FIX COST) แต่มูลหนี้ของเจ้าหนี้กลุ่มที่ 8เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนแปรผัน (AVAILABLE COST) ดังนั้น มูลหนี้ของเจ้าหนี้ดังกล่าวจึงมีลักษณะก้ำกึ่งทั้งเจ้าหนี้ในส่วนการลงทุนและเจ้าหนี้การค้าทั่วไป อย่างไรก็ตามเมื่อแผนกำหนดให้เจ้าหนี้รายนี้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้ว หากเจ้าหนี้เห็นว่าการจัดกลุ่มดังกล่าวไม่เป็นไปตามมาตรา 90/42 ทวิ วรรคหนึ่ง อาจยื่นคำขอต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่มตามมาตรา 90/42 ทวิ วรรคท้าย แต่เจ้าหนี้รายนี้หาได้ยื่นคำร้องคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ต่อศาลแต่ประการใด

ผู้ทำแผนยื่นคำชี้แจง ขอศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้

ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/58

เจ้าหนี้รายที่ 285 และเจ้าหนี้รายที่ 287 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้รายที่ 285 ประการแรกว่า เจ้าหนี้รายที่ 285 มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางตามมาตรา 90/57 หรือไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ทำแผนแก้อุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 285 ในทำนองเดียวกันว่าเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้เจ้าหนี้รายที่ 285 งดออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมเจ้าหนี้แล้ว เจ้าหนี้รายที่ 285 จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนตามมาตรา 90/30 ไม่อาจคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลตามมาตรา 90/57 ได้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/30 บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้รายใด… ถ้ามีผู้โต้แย้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนโดยด่วนแล้วมีคำสั่งว่าจะให้เจ้าหนี้รายนั้นออกเสียงในจำนวนหนี้ได้หรือไม่เท่าใดและให้นำความในมาตรา 90/23 วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนำมาใช้กับการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการด้วย ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจสั่งให้เจ้าหนี้รายที่ 285 งดออกเสียงในการประชุมเจ้าหนี้ได้อย่างไรก็ตามแม้มาตรา 90/23 วรรคสองจะบัญญัติว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวให้เป็นที่สุด โดยให้มีผลเฉพาะให้เจ้าหนี้มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้หรือไม่เท่านั้น… ดังนั้น คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เจ้าหนี้รายที่ 285 งดออกเสียงในที่ประชุมคงมีผลเฉพาะในที่ประชุมเจ้าหนี้ซึ่งเป็นการดำเนินการชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น หามีผลถึงชั้นพิจารณาของศาลด้วยไม่ ทั้งนี้เพราะในการพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของศาล มาตรา 90/57 บัญญัติว่า “ในการพิจารณาแผน ให้ศาลพิจารณาคำชี้แจงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และผู้ทำแผน รวมทั้งข้อคัดค้านของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงตามมาตรา 90/30 ซึ่งไม่ได้ลงมติยอมรับแผน” ดังนั้นเจ้าหนี้รายที่ 285 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางได้การที่ศาลล้มละลายกลางรับคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้รายที่ 285ไว้พิจารณาก่อนที่จะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ จึงชอบด้วยมาตรา 90/57

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้รายที่ 285 ประการต่อไปว่า แผนฟื้นฟูกิจการจะปรับลดหนี้ภาษีอากร งดเงินเพิ่มและเบี้ยปรับที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/27บัญญัติว่า “เจ้าหนี้อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ…” และมาตรา 90/60 บัญญัติว่า “แผนซึ่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบแล้ว ผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้…”บทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความประสงค์ที่จะให้มูลหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ทุกประเภทซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเข้ามาอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการทั้งหมดไม่ว่าหนี้นั้นจะเป็นหนี้ภาษีอากรใด ๆ ตามประมวลรัษฎากรหรือตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้หนี้สินของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วได้รับการชำระสะสางภายใต้กรอบของแผนฟื้นฟูกิจการให้เสร็จสิ้นไป นอกจากนี้หากกรณีใดซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ต้องการให้หนี้ภาษีอากรมีสิทธิเหนือหนี้สามัญหรือประสงค์จะคุ้มครองหนี้ภาษีอากรเป็นพิเศษพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จะบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง อาทิเช่น ผลการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายตามมาตรา 56 การปลดจากล้มละลายตามมาตรา 77 หนี้ภาษีอากรซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนตามมาตรา 90/27 วรรคสามหนี้ภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 130(6) เป็นต้น เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิหรือคุ้มครองแก่หนี้ภาษีอากรที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นกรณีพิเศษแล้ว ภายใต้บังคับมาตรา 90/57(2) ประกอบมาตรา 130(6) สิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 285 จึงมีฐานะเช่นเดียวกับเจ้าหนี้อื่น ทั้งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ในหมวด 3/1 กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้บัญญัติผลของการที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนไว้เป็นการเฉพาะโดยชัดแจ้งแล้วตามมาตรา 90/60 วรรคหนึ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 56 และมาตรา 77มาใช้โดยอนุโลมได้ดังที่เจ้าหนี้รายที่ 285 กล่าวอ้างมาในอุทธรณ์

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้รายที่ 285 ประการสุดท้ายว่าแผนฟื้นฟูกิจการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่นั้น เห็นว่า แผนฟื้นฟูกิจการเป็นเพียงข้อตกลงร่วมกันของบรรดาเจ้าหนี้ ลูกหนี้ เกี่ยวกับวิธีการในการชำระหนี้ ตลอดจนการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้โดยอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 พ.ศ. 2541 หมวด 3/1 การที่เจ้าหนี้รายที่ 285 อุทธรณ์คัดค้านว่าแผนฟื้นฟูกิจการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 และมิใช่เป็นกรณีต้องดำเนินการตามมาตรา 264เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการเป็นไปตามเงื่อนไขในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 90/58 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในคำวินิจฉัยที่ 35-36/2544ว่าบทบัญญัติมาตรา 90/58 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ แผนฟื้นฟูกิจการจึงชอบด้วยกฎหมายและศาลย่อมสามารถใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบด้วยแผนดังกล่าวได้

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 287 มีว่า ศาลล้มละลายกลางมิได้หยิบยกปัญหาตามข้อคัดค้านของเจ้าหนี้รายที่ 287 ที่ว่าแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา 90/42 หรือไม่ ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไม่เป็นไปตามลำดับกฎหมายว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายหรือไม่ และแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่มีรายละเอียดชัดเจนเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่า กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ แต่ศาลล้มละลายกลางกลับวินิจฉัยเป็นเรื่องการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ กรณีจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้ในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง เจ้าหนี้รายที่ 287 ได้ยกปัญหาทั้งสามข้อดังกล่าวมาในคำร้องคัดค้านแล้ว และเมื่อปัญหาทั้งสามข้อเป็นเหตุสำคัญเกี่ยวกับการพิจารณาแผน การที่ศาลล้มละลายกลางไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตามข้อกำหนดคดีล้มละลายพ.ศ. 2542 ข้อ 24 อย่างไรก็ตามเมื่อมีการอุทธรณ์ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาทั้งข้อเท็จจริงต่าง ๆในสำนวนก็เพียงพอแก่การวินิจฉัย ประกอบกับคดีฟื้นฟูกิจการจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาโดยเร็ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามข้อคัดค้านของเจ้าหนี้รายที่ 287 ดังกล่าวไปเสียทีเดียว โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยก่อน

ในปัญหาว่า แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/42หรือไม่ เห็นว่า กระบวนพิจารณาในการฟื้นฟูกิจการนั้น หลังจากที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับแผนด้วยมติพิเศษตามมาตรา 90/46 แล้ว กฎหมายได้กำหนดให้แผนดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลอีกขั้นตอนหนึ่งตามบทบัญญัติในส่วนที่ 8 ว่าด้วยการพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ กรณีจึงเป็นการกำหนดให้ศาลเข้ามามีบทบาทในทางธุรกิจเพื่อจะได้วินิจฉัยตรวจสอบในการให้ความเห็นชอบด้วยแผนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และมอบดุลพินิจให้ตรวจสอบว่าสมควรให้ความเห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ ศาลจึงมีอำนาจตรวจสอบถึงเนื้อหาของแผนตลอดจนโอกาสความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามแผน มิใช่พิจารณาแต่เพียงตรวจสอบรายการต่าง ๆ ว่ามีครบถ้วนตามรูปแบบหรือไม่ จากการที่ศาลฎีกาได้พิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของผู้ทำแผนในคดีนี้แล้ว มีรายละเอียดในแผนตั้งแต่ส่วนที่ 2 เหตุผลที่ทำให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ถึงส่วนที่ 15 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายรวมตลอดทั้งเอกสารที่แนบมากับแผน แผนฟื้นฟูกิจการมีรายการและรายละเอียดครบถ้วนตามมาตรา 90/42 ประกอบมาตรา 90/58(1) และวรรคสองแล้ว

ปัญหาต่อไปว่า ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแก่เจ้าหนี้ไม่เป็นไปตามมาตรา 90/42 ตรี หรือไม่ เจ้าหนี้รายที่ 287 อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้รายที่ 287 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 4 แต่ไม่ได้รับการจัดชำระหนี้เท่าเทียมกับเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 8 และที่ 10 ซึ่งจัดอยู่ในประเภทหนี้อื่น ๆ ตามมาตรา 130(7)ลำดับเดียวกันกับเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 เห็นว่า ในกรณีฟื้นฟูกิจการแม้มาตรา 90/58(2)กำหนดว่าข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนนั้นจะต้องเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายนั้น หมายถึงให้นำบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130 มาใช้ในคดีฟื้นฟูกิจการเฉพาะเรื่องลำดับการชำระหนี้เท่านั้น กล่าวคือ หนี้รายใดจะต้องชำระก่อนหรือหลังจะต้องเป็นไปตามลำดับที่กำหนดไว้ในมาตรา 130(1) ถึง (7) แต่ในกรณีฟื้นฟูกิจการนั้นได้มีบทบัญญัติเฉพาะเรื่องกลุ่มเจ้าหนี้ตามมาตรา 90/42 ทวิ (3) ด้วยว่าเจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจจัดได้เป็นหลายกลุ่ม และมาตรา 90/42 ตรี กำหนดว่าสิทธิของเจ้าหนี้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันต้องได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน ดังนั้น หนี้อื่น ๆ ตามมาตรา 130(7) มิใช่ว่าเจ้าหนี้ในลำดับเดียวกันจะต้องแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อผู้ทำแผนได้จัดให้เจ้าหนี้ไม่มีประกันซึ่งอยู่ในลำดับตามมาตรา 130(7) ออกเป็น 7 กลุ่ม จัดให้เจ้าหนี้รายที่ 287อยู่ในกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 4 เจ้าหนี้ก่อสร้าง ส่วนเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 8เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้ไม่มีประกันกลุ่มที่ 10 เจ้าหนี้ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ ฉะนั้นข้อเสนอของผู้ทำแผนในการชำระหนี้และกำหนดเงื่อนไขในการชำระหนี้ย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผลไม่ถือว่าข้อเสนอในการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ไม่มีประกันไม่เท่าเทียมกัน แต่สิทธิของเจ้าหนี้รายที่ 287 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่ 4 ชอบที่จะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน จะนำสิทธิของเจ้าหนี้ไม่มีประกันในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเปรียบเทียบกันหาได้ไม่

ปัญหาว่า แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่มีรายละเอียดชัดเจนที่จะแสดงให้เห็นว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา 90/58(3) หรือไม่ เจ้าหนี้รายที่ 287 อุทธรณ์ว่า ประมาณการทางการเงินที่ผู้ทำแผนจัดทำขึ้นในภาคผนวก 18 มีเพียงหน้าเดียวและในตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างกรณีล้มละลายกับการฟื้นฟูกิจการในภาคผนวก 12 ไม่มีรายละเอียดอันเป็นข้อสมมุติฐานซึ่งเป็นที่มาของตัวเลขให้เห็นว่าหากดำเนินการตามแผนสำเร็จ เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีลูกหนี้ล้มละลาย เห็นว่า ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย การดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ย่อมไม่อาจดำเนินต่อไปได้ ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่มีอยู่จะต้องถูกนำออกขายทอดตลาดซึ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดก็คงจะต่ำกว่าราคาทรัพย์สินที่แท้จริง ส่วนกรณีที่มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ลูกหนี้ยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปและจัดหาผลประโยชน์ภายใต้การบริหารของผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนซึ่งสามารถนำรายได้จากการประกอบธุรกิจมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูกิจการย่อมทำให้ลูกหนี้มีอนาคตกว่ากรณีที่ต้องล้มละลาย ซึ่งปรากฏจากแผนฟื้นฟูกิจการของผู้ทำแผนลงวันที่23 เมษายน 2544 ประกอบกับภาคผนวก 1 ถึงภาคผนวก 18 และรายงานสรุปวิเคราะห์แผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ลงวันที่ 23 เมษายน 2544 ประกอบกับภาคผนวก 1 ถึงภาคผนวก 18 และรายงานสรุปวิเคราะห์แผนฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 ต้องกันว่า แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ผู้ทำแผนได้คำนวณมาจากข้อมูลซึ่งบริษัทอเมริกันแอ๊พเพรซัล (ประเทศไทย)จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประเมินอิสระที่มีชื่อเสียงเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในการประเมินราคาทรัพย์สินและไม่มีส่วนได้เสียในคดีนี้ นอกจากนั้นในการจัดทำประมาณการทางการเงิน ผู้บริหารของลูกหนี้ได้เป็นผู้จัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประมาณการรายได้และรายจ่ายของลูกหนี้ให้แก่ผู้บริหารแผนเพื่อนำมาประกอบการจัดทำประมาณการทางการเงินตามภาคผนวก 18 และ ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2543 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ลูกหนี้มีสินทรัพย์ 1,501,007,000 บาท แต่ลูกหนี้มีหนี้สิน12,765,013,000 บาท หนี้สินจึงมีมากกว่าสินทรัพย์ 11,264,006,000 หากนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนในการได้รับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ภายใต้การชำระบัญชีและผลตอบแทนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการที่ปรากฏในภาคผนวก 12

การเปรียบเทียบผลตอบแทนที่คาดว่าเจ้าหนี้จะได้รับจากทรัพย์สินของบริษัทประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้สถาบันการเงิน, เจ้าหนี้ค้ำประกัน, เจ้าหนี้ก่อสร้าง- เจ้าหนี้มีหลักประกัน ประมาณการผลตอบแทนภายใต้การชำระบัญชี 5.68%ประมาณการผลตอบแทนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ 21% – เจ้าหนี้ไม่มีหลักประกัน เจ้าหนี้การค้า ประมาณการผลตอบแทนภายใต้การชำระบัญชี0.68% ประมาณการผลตอบแทนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ 13%- เจ้าหนี้ไม่มีหลักประกัน ประมาณการผลตอบแทนภายใต้การชำระบัญชี 0.68%ประมาณการผลตอบแทนภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ 80%แล้วจะเห็นได้ว่าตามแผนฟื้นฟูกิจการทั้งหมดประกอบภาคผนวก 18 ก็ดี และภาคผนวก 12 ก็ดี จึงเป็นรายงานการสรุปที่มีพื้นฐานจากข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีรายละเอียดชัดเจนพอสมควรแล้วหาจำต้องลงรายละเอียดเกินกว่าความจำเป็นไม่ ประกอบกับผู้ทำแผนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพให้คำปรึกษาทางการเงินได้จัดทำด้วยความรอบคอบและตามมาตรฐานของวิชาชีพโดยบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายซึ่งประกอบด้วยเจ้าหนี้สถาบันการเงินก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าแผนมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงจึงลงมติพิเศษรับแผนดังกล่าวด้วยจำนวนหนี้ทั้งสิ้น 10,648,382,226.32 บาท คิดเป็นร้อยละ 88.71 ของเจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงและลงมติ กรณีจึงเชื่อได้ว่าเมื่อมีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้วเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้มากกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

ตามเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาตั้งแต่ต้น เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการมีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด การจัดสรรแบ่งชำระหนี้แก่บรรดาเจ้าหนี้เท่าเทียมกันและเป็นธรรมการดำเนินการฟื้นฟูกิจการจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย แผนฟื้นฟูกิจการมีโอกาสที่จะดำเนินการสำเร็จตามแผนได้และแผนได้กระทำโดยสุจริต ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของเจ้าหนี้รายที่ 285 และที่ 287 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share