แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ใช้ทางพิพาทเฉพาะในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเข้าออกจากที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีนั้น ย่อมทำให้ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมเฉพาะแต่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเท่านั้น มิใช่ตกเป็นภารจำยอมตลอดทั้งปี เมื่อจำเลยทั้งสามทำคันดินกั้นทางพิพาทกับนำท่อนไม้มาขวางไว้ ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ต้องรื้อถอนคันดินกับท่อนไม้เปิดทางพิพาทห้ามเกี่ยวข้องและต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และบริวารใช้ที่ดินจำเลยทั้งสามทางด้านทิศเหนือกว้าง 4 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยจำเลยทั้งสามไม่เคยห้ามปราม ทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสามทำคันดินและนำท่อนไม้มาขวางทางห้ามโจทก์และบริวารผ่านที่ดินจำเลยทั้งสาม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ 1,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง4 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร ทางด้านทิศเหนือที่ดินจำเลยทั้งสามเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนเป็นทางภารจำยอม ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสามรื้อคันดิน ท่อนไม้ และเปิดทางภารจำยอม ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะเปิดทางภารจำยอมให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ใช้ทางเดินโดยขออาศัยผ่านเป็นฤดูกาล คือฤดูทำนาและฤดูเก็บเกี่ยวตามประเพณีท้องถิ่นครั้นปี 2536 โจทก์จึงขอเดินผ่านที่ดินจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามไม่ยินยอม ก่อนหน้านี้โจทก์ก็ไม่เคยใช้ที่ดินจำเลยทั้งสามเป็นทางเข้าออกจากที่ดินโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะ และโจทก์ไม่เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า ทางพิพาทกว้าง4 เมตร ยาว 60 เมตร ตามรูปแผนที่เอกสารหมาย จ.2 ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)เลขที่ 522 ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานีให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนคันดินและท่อนไม้เปิดทางและไปจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ หากไม่ไปให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 1,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะเปิดทางภารจำยอม
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 522 ตำบลโนนสว่างอำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 24 ไร่ 1 งาน77 ตารางวา ทิศเหนือติดที่ดินนางอำนาจ จันทร์ทรง ทิศตะวันออกติดลำห้วยสาธารณะ ทิศตะวันตกและทิศใต้ติดที่ดินจำเลยทั้งสามถัดจากที่ดินจำเลยทั้งสามไปทางทิศตะวันตกเป็นทางสาธารณะทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ยาว 60 เมตร อยู่ในกรอบสีแดง ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งอยู่ในที่ดินจำเลยทั้งสามบริเวณด้านทิศเหนือ และเป็นทางเชื่อมระหว่างที่ดินโจทก์กับทางสาธารณะดังกล่าว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสามมิได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและนำสืบได้ว่า โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกจากที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วถือได้ว่าจำเลยทั้งสามยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยขออนุญาตจากจำเลยทั้งสามทุกปี แม้แต่นางอำนาจพยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันเช่นนั้นเห็นว่า เป็นข้อกล่าวอ้างนอกคำให้การเพราะจำเลยทั้งสามให้การว่าโจทก์ขออนุญาตใช้ทางพิพาท แต่จำเลยทั้งสามไม่ยินยอมจึงไม่สามารถรับฟังดังที่จำเลยทั้งสามฎีกา และโจทก์จะใช้ทางลัดบนสันเขื่อนหรือไม่อย่างไร หาใช่สาระสำคัญไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าออกจากที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว แม้ใช้เฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวก็ตามทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมตามฟ้อง และการที่จำเลยทั้งสามทำคันดินกั้นทางพิพาทกับนำท่อนไม้มาขวางไว้ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ต้องรื้อถอนคันดินกับท่อนไม้ เปิดทางพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องและต้องชดใช้ค่าเสียหาย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ยกเว้นแต่การให้ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมตลอดทั้งปีเป็นการไม่ชอบ คงตกเป็นภารจำยอมเฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวตามข้อเท็จจริงที่ใช้ทางพิพาทเท่านั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมเฉพาะช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1