คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของ โดยพลันในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว และอีกข้อหนึ่งว่า ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อ ที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หรือถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อเมื่อเจ้าของได้ประเมินราคาแล้ว มีราคาไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่คงเหลืออยู่กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้เงินให้เจ้าของจนครบถ้วน โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนราคารถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน แม้ราคาขายจะเป็นเพียงความคาดหมายของโจทก์โดยยังมิได้มีการขายจริง แต่โจทก์ก็อาจนำสืบให้เห็นได้ว่ารถยนต์อยู่ในสภาพที่ในท้องตลาดมีการซื้อขายกันในราคาเท่าใดโดยที่ยังมิได้มีการขายจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้มีการกำหนดกันไว้ในสัญญาเช่าซื้อ ในส่วนของค่าขาดประโยชน์ศาลกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ โดยพิเคราะห์ถึงยี่ห้อของรถยนต์ และ ราคาเช่าซื้อที่จะชำระแต่ละเดือน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๔๑๔,๙๐๗.๑๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ยืนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกมีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนราคารถยนต์ที่ยัง ขาดอยู่โดยที่ยังมิได้มีการขายรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อไปได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ราคาขายดังกล่าวจะเป็นเพียงความคาดหมายของโจทก์โดยที่ยังมิได้มีการขายจริงก็ตาม แต่โจทก์ก็อาจนำสืบพยานหลักฐานอื่นให้เห็นได้ว่ารถยนต์อยู่ใน สภาพชำรุดทรุดโทรมอย่างไร และในสภาพเช่นว่านั้นในท้องตลาดมีการซื้อขายกันในราคาเท่าใด โดยที่ยังมิได้มี การขายจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการกำหนดกันไว้ในสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๐ ด้วยว่า ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์สินที่ เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หรือถ้าทรัพย์สิน ที่เช่าซื้อเมื่อเจ้าของได้ประเมินราคาแล้วมีราคาไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่คงเหลืออยู่กับค่าเสียหายอื่นที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะ ชดใช้เงินให้เจ้าของจนครบถ้วน โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้แม้จะมิได้มีการขายรถยนต์ไปจริง ปัญหาว่า ค่าเสียหาย เห็นว่า สภาพความเสียหายดังกล่าวมีไม่มาก เป็นเพียงรอยขีดข่วน มิได้เกิดจากการชนอย่างรุนแรง เมื่อวิเคราะห์ถึงประเภทของรถยนต์ซึ่งเป็นยี่ห้อเบนซ์ อี ๒๘๐ และราคาตามสัญญาเช่าซื้อสูงถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทเศษ และเป็นรถยนต์ใหม่ต้องตกเป็นรถยนต์ที่ใช้งานมาแล้วหรือรถยนต์มือสองตามฎีกาของโจทก์ เพราะการผิดสัญญาของจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาต่อไปตามฎึกาของโจทก์มีว่า โจทก์ควรได้ค่าเสียหายในการขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า รถยนต์รุ่นเดียวกันและยี่ห้อเดียวกันกับรถยนต์ที่ให้จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อ โจทก์ได้นำให้บุคคลภายนอกเช่าในลักษณะการเช่าแบบลีสซิ่ง ค่าเช่าเดือนละ ๖๒,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าได้ให้ผู้ใดเช่าไปกี่รายเมื่อใด คงมีแต่นางสาวสร้อยเพชร ชูชัยสุวรรณศรี เบิกความลอย ๆ ว่า โจทก์สามารถนำรถยนต์ออกให้เช่าได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๖๒,๐๖๐ บาท เท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อพิเคราะห์ถึงยี่ห้อของรถยนต์ และราคาเช่าซื้อที่จะต้องชำระ แต่ละเดือนแล้ว เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท นั้นยังต่ำไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์เดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท รวม ๓ เดือน เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับค่าเสียหายในส่วนราคารถยนต์ที่ยังขาดอยู่จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และค่าติดตามยึดรถยนต์คืน ๑,๐๐๐ บาท แล้ว รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น ๓๓๐,๐๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share