แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยใช้มีดกรีดใบหน้าโจทก์แผลยาว 3 นิ้วครึ่ง ลึก 1 นิ้วเมื่อบาดแผลหายแล้วมีแผลเป็นทำให้โจทก์มีใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัวการที่โจทก์เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉม เป็นการเรียกค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ศาลกำหนดให้ได้โดยพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาวุธมีดยาว 12 เซนติเมตร กรีดทำร้ายโจทก์ที่ใบหน้าจากดั้งจมูกซ้ายถึงมุมปากซ้าย เป็นแผลยาว 9 เซนติเมตรลึกประมาณ 1 นิ้ว เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสต้องเสียค่ารักษาบาดแผลเบื้องต้น เป็นเงิน 2,000 บาท เมื่อบาดแผลหายแล้วใบหน้าโจทก์ปรากฏรอยแผลเป็นเสียโฉมอย่างติดตัว แผลเป็นมีลักษณะน่าเกลียดมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 7 เมตร โจทก์ต้องผ่าตัดตกแต่งแผลเป็นบางส่วนเฉพาะบริเวณดั้งจมูกซ้ายเสียค่ารักษาเป็นเงิน6,000 บาท แต่ก็ไม่หายเป็นปกติต้องทำศัลยกรรมตกแต่งด้วยวิธีผ่าตัดเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายาต่าง ๆเป็นเงิน 50,000 บาท การกระทำของจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน อับอายขายหน้าและมีบาดแผลบนใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว หมดสิ้นความสวยงามไปตลอดชีวิต และมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของโจทก์อย่างยิ่ง ทำให้โจทก์ได้รับความทรมานทางจิตใจขาดความสุขไปตลอดชีวิต โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน200,000 บาท รวมค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยทั้งสิ้นเป็นเงิน 258,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ค่าความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์118,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 248,000บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์สำเร็จปริญญาตรีทางนิติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ประกอบอาชีพทนายความและเป็นมัคคุเทศก์ด้วยปัจจุบันไม่ได้ทำการสมรส จำเลยจบการศึกษาทางด้านทหารจากโรงเรียนจ่าทหารเรือ โจทก์รู้จักจำเลยตั้งแต่ปี 2526 ในฐานะเป็นคู่รักกันจำเลยมีบุตรภรรยาแล้ว ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยใช้มีดกรีดใบหน้าโจทก์จนได้รับอันตรายสาหัส มีบาดแผลยาว 3 นิ้วครึ่ง ลึกประมาณ 1 นิ้ว เมื่อรักษาบาดแผลหายแล้ว ปรากฏว่ามีแผลเป็นทำให้โจทก์มีใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว…
ที่จำเลยฎีกาว่า ค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉมที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ 200,000 บาท นั้นมากไปอย่างมากไม่เกิน 20,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนในการเสียสุขภาพอนามัยและใบหน้าเสียโฉมที่โจทก์เรียกร้องนี้เป็นค่าทดแทนความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ซึ่งศาลย่อมกำหนดให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด สำหรับคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยขาดศีลธรรม จำเลยหลอกโจทก์ว่าจำเลยเป็นโสดจนโจทก์หลงรักและเสียตัวให้จำเลย ครั้นเมื่อโจทก์ทราบในภายหลังว่าจำเลยมีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว โจทก์จึงแยกทางไม่ให้จำเลยมาติดต่ออีก แต่จำเลยกลับไม่ยอม เมื่อโจทก์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อคุ้มครองสิทธิของโจทก์ตามกฎหมาย จำเลยกลับใช้ความป่าเถื่อน กระทำแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้รับความทุกข์ทรมานด้านจิตใจไปตลอดชีวิต และความทุกขเวทนาทางร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกจำเลยทำร้าย ต้องรักษาบาดแผลเป็นนาน 1 เดือน และต้องทำการผ่าตัดทำศัลยกรรมตกแต่งเพื่อลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ถึงแม้จะทำศัลยกรรมตกแต่งแล้วก็ไม่สามารถที่จะลบรอยแผลเป็นให้หมดไปโดยสิ้นเชิงได้ ใบหน้าโจทก์ต้องเสียโฉมเกิดปมด้อย โจทก์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานด้านจิตใจไปตลอดชีวิต อีกทั้งปรากฏว่าโจทก์ยังไม่ได้ทำการสมรส เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้วเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนรายการนี้เป็นเงิน 200,000บาท เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน