คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4966/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 วรรคหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์ผู้รับประกันภัยจึงมีเท่ากับสิทธิเรียกร้องของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่โดยมูลหนี้ต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง โจทก์ก็ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 501,272.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 460,940 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฏีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 81 – 3363 ประจวบคีรีขันธ์ จากนางสาวพันธุ์ธีรา ผู้เอาประกันภัย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 และเป็นผู้รับประกันภัยประเภท 1 จากนางสาวศิริพร (นางสาวพัทธุ์ธีรา) ผู้เอาประกันภัยด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงพลังงานและเป็นเจ้าของผู้ครอบครอง ควบคุมดูแลเสาไฟฟ้าและระบบสายส่งไฟฟ้าขนาด 33 เควี ที่พาดผ่านเหนือพื้นดินระหว่างเสาไฟฟ้าต้นที่ 77 ถึง 78 หมู่ที่ 4 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นทรัพย์สินอันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ นายทวิชขับรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยเข้าไปในซองลุงรัตน์และจอดอยู่ใต้สายไฟฟ้าที่พาดผ่านเสาไฟฟ้าต้นที่77 ถึง 78 ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน สายไฟฟ้าเส้นหนึ่งขาด กระแสไฟฟ้ารั่วถูกรถที่โจทก์รับประกันภัยเป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้รถเสียหายทั้งคันและนายทวิชถึงแก่ความตายอยู่ข้างรถ โจทก์ชดใช้ค่ายกรถที่รับประกันภัยเป็นเงิน 5,940 บาท และค่าซ่อมแซมรถเป็นเงิน 320,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้ตายเป็นเงิน 100,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประสบภัยจากรถเป็นเงิน 35,000 บาท รวมเป็นเงิน 460,940 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเสนอข้อหาให้จำเลยรับผิดในการละเมิด ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ฟ้องจำเลยเอง ก็ต้องฟ้องภายในกำหนด 1 ปี นับวันที่ผู้เอาประกันภัยรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์ผู้รับประกันภัย จึงมีเท่ากับสิทธิเรียกร้องของผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่โดยมูลหนี้ต่อจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนด 1 ปี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว โจทก์ก็ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย ทั้งเมื่อจำเลยให้การยกข้อต่อสู้ว่า สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ที่รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องจำเลยนั้น ขาดอายุความแล้ว โจทก์จำต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า สิทธิเรียกร้องนั้นยังไม่ขาดอายุความ เพราะผู้เอาประกันภัยเพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนและโจทก์ได้ฟ้องให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องนั้นภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยได้รู้ดังกล่าวแล้ว สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์จึงจะยังไม่ขาดอายุความ แต่ในทางพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นดังกล่าว ดังนั้นเมื่อปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่า พนักงานผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของจำเลยได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุและมีหนังสือแจ้งแก่พนักงานสอบสวนถึงจำนวนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของจำเลยทันทีในวันเกิดเหตุและต่อเนื่องจากนั้นยังได้ร่วมงานศพของผู้ตายโดยได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของผู้ตายด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้เอาประกันภัยรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันละเมิดหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ 7 มกราคม 2552 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย จึงชอบแล้ว ข้ออ้างของโจทก์ว่า โจทก์เพิ่งรู้ว่า จำเลยเป็นผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 จึงหาได้เป็นสาระสำคัญที่จะทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 พ้นกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share