แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้สมัครใจซื้อรถบรรทุก 10 ล้อ คันเกิดเหตุจากจำเลย จำเลยมิได้เจ้าของรถคันดังกล่าวแล้วแต่กลับกล่าวหาว่าโจทก์ถอดเอาอุปกรณ์ของรถคันดังกล่าวไปขายอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แล้วบังคับให้โจทก์ซื้อรถคันดังกล่าวในราคา55,000 บาท หากไม่ซื้อก็จะดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการข่มขู่โจทก์จนโจทก์ จำต้องยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้พิพาท และยอมมอบเช็คจำนวนเงิน 55,000 บาท ให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลย ดังกล่าวมาถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม แต่ถือได้ว่าเป็นภัยถึงขนาดที่จะจูงใจให้โจทก์มีมูล ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เสรีภาพของโจทก์ เป็นภัย อันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันถูกจำเลย ข่มขู่เอานั้น บันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เมื่อโจทก์ได้บอกล้างแล้ว บันทึกการชำระหนี้ดังกล่าว จึงเป็นโมฆะเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้นโจทก์ไม่จำต้องรับผิด ตามบันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวนั้น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อปี 2530 จำเลยนำรถบรรทุก 10 ล้อสภาพชำรุดทรุดโทรม จำนวน 1 คัน มาจอดทิ้งไว้ที่อู่ซ่อมรถรถยนต์ของโจทก์ทั้งสองเพื่อรอซ่อม แล้วขาดการติดต่อกันครั้นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537 จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโจทก์ที่ 1 อ้างว่ารถบรรทุก 10 ล้อ คันดังกล่าวถูกขโมยและอะไหล่บางชิ้นถูกถอดออกไป จำเลยกับเจ้าพนักงานตำรวจร่วมกันข่มขู่โจทก์ที่ 1 ว่าถ้าโจทก์ที่ 1 ยอมรับซื้อซากรถบรรทุก 10 ล้อคันดังกล่าวจากจำเลยเป็นเงิน 55,000 บาท ในฐานะที่เป็นค่าเสียหายแล้วจะไม่ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 1 ต่อไป ทั้ง ๆ ที่จำเลยเองก็ไม่มีเอกสารและหลักฐานการเป็นเจ้าของรถบรรทุก 10 ล้อคันดังกล่าวมาแสดง เมื่อโจทก์ที่ 1 ไม่ตกลง จำเลยกับเจ้าพนักงานตำรวจก็ร่วมกันกักตัวโจทก์ที่ 1 ไว้ไม่ยอมให้กลับบ้านโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ ในที่สุด โจทก์ที่ 1 จึงต้องยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้ให้แก่จำเลย โดยระบุว่าเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2537 โจทก์ที่ 1 กู้เงินจำเลยจำนวน 55,000 บาทพร้อมทั้งมอบเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาปทุมธานี หมายเลข 7971494 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำนวนเงิน 55,000 บาทซึ่งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้แก่จำเลยเป็นการชำระหนี้ตามบันทึกดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยจึงยอมปล่อยตัวโจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ที่ 2 มีคำสั่งให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาปทุมธานี ระงับการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวทั้งแจ้งให้จำเลยคืนบันทึกการชำระหนี้และเช็คให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยไม่ยินยอมกลับข่มขู่โจทก์ที่ 2 ให้ชำระเงินตามเช็ค โจทก์ทั้งสองจึงมีหนังสือบอกล้างนิติกรรมกับขอบันทึกการชำระหนี้และเช็คคืน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วแต่เพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าบันทึกการชำระหนี้ ฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537เป็นโมฆะและให้ส่งมอบคืนแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมเช็คธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาปทุมธานี หมายเลข 7971494 ให้จำเลยนำรถบรรทุก 10 ล้อ ตามฟ้องกลับคืนไปโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายในการขนย้าย
จำเลยให้การว่า บันทึกการชำระหนี้ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537ทำขึ้นโดยการขอร้องของโจทก์เพื่อไม่ให้จำเลยดำเนินคดีในเรื่องโจทก์ลักทรัพย์จำเลย และโจทก์มอบเช็คให้แก่จำเลยเป็นการชำระค่าเสียหาย ต่อมาเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ฟ้องโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้ในฐานะลูกหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 และมอบเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาปทุมธานี หมายเลข 7971494 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำนวนเงิน 55,000 บาท ให้แก่จำเลยที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ด หลังจากนั้นโจทก์ที่ 2 มีคำสั่งห้ามมิให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค และมีหนังสือบอกล้างนิติกรรมตามเอกสารหมาย จ.3 ไปยังจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองมีว่าบันทึกการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นโมฆะ จำเลยต้องคืนเช็คตามฟ้องและขนย้ายรถบรรทุก 10 ล้อ กลับคืนไปหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า โจทก์ที่ 1มิได้สมัครใจซื้อรถบรรทุก 10 ล้อ คันเกิดเหตุจากจำเลยจำเลยมิได้เป็นเจ้าของรถคันดังกล่าวแล้วแต่กลับกล่าวหาว่าโจทก์ที่ 1 ถอดเอาอุปกรณ์ของรถคันดังกล่าวไปขายอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แล้วบังคับให้โจทก์ที่ 1 ซื้อรถคันดังกล่าวในราคา 55,000 บาท หากไม่ซื้อก็จะดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 1ในข้อหาลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการข่มขู่โจทก์ที่ 1จนโจทก์ที่ 1 จำต้องยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 และยอมมอบเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาปทุมธานี หมายเลข 7971494 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำนวนเงิน 55,000 บาท ให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม แต่ถือได้ว่าเป็นภัยถึงขนาดที่จะจูงใจให้โจทก์ที่ 1 มีมูลต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เสรีภาพของโจทก์ที่ 1 เป็นภัยอันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันถูกจำเลยข่มขู่เอานั้น บันทึกการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์ทั้งสองได้บอกล้างแล้วบันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้นโจทก์ทั้งสองไม่จำต้องรับผิดตามบันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวนั้นแต่ที่โจทก์ทั้งสองมีคำขอให้จำเลยขนย้ายรถบรรทุก 10 ล้อ กลับไปนั้นปรากฏตามคำแถลงของทนายจำเลยในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2538 ว่า จำเลยได้รับรถบรรทุก 10 ล้อ ซึ่งเป็นมูลกรณีพิพาทในคดีนี้คืนไปแล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำขอของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้อีก
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาปทุมธานี หมายเลข 7971494 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2537 จำนวนเงิน 55,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง คำขอนอกจากนี้ให้ยก