คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5580/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยมีข้อต่อสู้รวม 16 ประเด็น แต่คดีไม่มีการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจึงนำประเด็นต่าง ๆ ในคำให้การของจำเลยบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกันมาวินิจฉัยรวมกันเป็น 9 ประเด็น โดยมิได้วินิจฉัยเรียงตามประเด็นในคำให้การของจำเลย ซึ่งจำเลยก็อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้ง 9 ประเด็น และขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่อ้างว่าขาดไป 7 ประเด็นด้วย ศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยโดยยกประเด็นที่เห็นว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยขึ้นมาวินิจฉัยให้ก่อนที่จะวินิจฉัยประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา และในตอนท้ายศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าสำหรับอุทธรณ์นอกจากนี้ของจำเลยไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้แสดงว่าเมื่อจำเลยอุทธรณ์ตามข้อต่อสู้ในคำให้การทั้ง 16 ประเด็นศาลอุทธรณ์ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก่อนหนึ่งประเด็น เนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีและศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย จากนั้นได้หยิบยกข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นมาวินิจฉัยจนครบถ้วนทุกประเด็น และได้ตรวจวินิจฉัยอุทธรณ์ที่เหลือแล้วเห็นว่าไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยให้ ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยครบทั้ง 16 ประเด็น ตามข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย กรณีไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) จึงไม่มีเหตุให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,098,230.41 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 971,437.74 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,051,230.41 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 971,437.74 บาทนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 สิงหาคม 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่จำเลยฎีกาว่า ตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ได้เสนอต่อศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม 2541 ข้อ 2. 2.1 ถึง 2.5 ในสาระสำคัญที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีโดยมิได้หยิบยกประเด็นสาระสำคัญที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้โดยชอบอย่างแจ้งชัดในคำให้การฉบับลงวันที่ 10พฤศจิกายน 2540 ขึ้นวินิจฉัยและศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกข้ออุทธรณ์ตามข้อ 2. 2.1 ถึง 2.5 ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาและพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีโดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อข้อต่อสู้ที่ชอบตามรายละเอียดในคำอุทธรณ์จำเลยฉบับลงวันที่ 10 สิงหาคม2541 ข้อ 2. 2.1 ถึง 2.5 ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยมาตามลำดับชั้นศาลอย่างถูกต้อง เพราะเหตุยังมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษา คำสั่ง การพิจารณาและการวินิจฉัยเป็นข้ออุปสรรคขัดขวาง อันทำให้จำเลยไม่อาจหยิบยกขึ้นว่ากล่าวเป็นข้อฎีกาเสนอต่อศาลฎีกาได้โดยชอบ จึงขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247, 240, 242(3)(4), 243 มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นในคดีนี้โดยขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิพากษาใหม่ตามข้อที่จำเลยยกต่อสู้ว่ากล่าวให้ครบถ้วน เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาตั้งโจทก์เป็นตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ โดยจำเลยมอบหมายให้โจทก์ดำเนินการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ให้แก่จำเลยและจำเลยตกลงชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ที่สั่งให้โจทก์ซื้อแต่ละคราวพร้อมค่าธรรมเนียมและ/หรือค่านายหน้าแก่โจทก์ตามที่ตกลงขอวงเงินทดรองจ่ายจากโจทก์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อหลักทรัพย์เป็นวงเงินทดรองจ่ายประเภทที่ 3 เป็นการซื้อขายหุ้นในบัญชีมาร์จินประเภท พี/เอ็น มาร์จิน (P/N MARGIN) ต่อมาจำเลยได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในบัญชีมาร์จิน ประเภทพี/เอ็น มาร์จิน หลายครั้ง โจทก์ได้ดำเนินการซื้อให้โดยออกเงินทดรองไปก่อน ในที่สุดหลังจากหักเงินชำระหนี้แล้วจำเลยมียอดหนี้ส่วนขาดทุนจากการซื้อขายหุ้นค้างชำระในบัญชีมาร์จินประเภท พี/เอ็น มาร์จิน เป็นต้นเงิน 971,437.74 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องวันที่ 29 สิงหาคม 2540 เป็นเงิน79,792.67 บาท รวมเป็นเงิน 1,051,230.41 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 971,437.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโดยยกข้อต่อสู้รวม 16 ประเด็น และขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน1,051,230.41 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน971,437.74 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วตั้งประเด็นขึ้นวินิจฉัยรวม 9 ประเด็น โดยศาลชั้นต้นยกประเด็นเรื่องคำขอวงเงินทดรองจ่ายเพื่อซื้อหลักทรัพย์ตามฟ้องต้องปิดอากรแสตมป์ในฐานะเป็นลักษณะตราสารกู้ยืมตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยไว้ในประเด็นข้อที่ 3 และวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลยตามสัญญาตัวแทนนายหน้าโดยมีคำขอวงเงินทดรองจ่ายเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นเอกสารประกอบ มิได้ฟ้องโดยอาศัยคำขอวงเงินทดรองจ่ายดังกล่าวเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม กรณีจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในฐานะเป็นลักษณะตราสารกู้ยืมตามประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าคำขอวงเงินทดรองจ่ายดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ชัดแจ้งในคำให้การแล้ว จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้จำนวน 16 ประเด็น แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ในคำพิพากษาเพียง 9 ประเด็น จึงขาดไป 7 ประเด็น จำเลยได้บรรยายกล่าวอ้างเป็นอุทธรณ์ทั้งเจ็ดประเด็นต่อศาลอุทธรณ์ และอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งเก้าประเด็นด้วย และขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งหรือคำพิพากษากลับแก้ ยก ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่หรือขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จำเลยได้อุทธรณ์มาพร้อมกับพิพากษายกฟ้องโจทก์เสีย ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาโดยยกประเด็นที่เป็นฐานของคดีซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยขึ้นมาเป็นประเด็นวินิจฉัยให้แล้วว่า คำขอวงเงินทดรองจ่ายเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่จำเลยกระทำต่อโจทก์นั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและใช้บังคับกันได้ จากนั้นศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยทุกประเด็นของคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามที่จำเลยอุทธรณ์โดยในตอนท้ายศาลอุทธรณ์ได้กล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า อนึ่ง สำหรับอุทธรณ์นอกจากนี้ของจำเลยไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ แล้วพิพากษายืน ดังนี้ แม้ในคำให้การของจำเลยจะมีข้อต่อสู้รวม 16 ประเด็น แต่คดีนี้ไม่มีการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจึงได้นำประเด็นต่าง ๆ ในคำให้การของจำเลยบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกันมาวินิจฉัยรวมกันเป็น 9 ประเด็น โดยมิได้วินิจฉัยเรียงตามประเด็นในคำให้การของจำเลยซึ่งจำเลยก็อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งเก้าประเด็นนั้นและขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่อ้างว่าขาดไป 7 ประเด็นด้วย ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยโดยยกประเด็นที่เห็นว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยขึ้นมาวินิจฉัยให้ก่อนที่จะวินิจฉัยประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาและในตอนท้ายศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า อนึ่ง สำหรับอุทธรณ์นอกจากนี้ของจำเลยไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ แสดงว่าเมื่อจำเลยอุทธรณ์ตามข้อต่อสู้ในคำให้การทั้งสิบหกประเด็น ศาลอุทธรณ์ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยก่อนหนึ่งประเด็น เนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีและศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยจากนั้นได้หยิบยกข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นมาวินิจฉัยจนครบถ้วนทุกประเด็นและได้ตรวจวินิจฉัยอุทธรณ์ที่เหลือแล้วเห็นว่าไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยครบทั้งสิบหกประเด็นตามข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยแล้ว ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย กรณีไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) จึงไม่มีเหตุให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share