คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่2เพียงรับจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้มิใช่ซื้อรถจักรยานยนต์จากป. ซึ่งจะต้องชำระเงินเต็มตามราคาทรัพย์สินที่ซื้อไว้แต่การรับจำนำเป็นเพียงการที่ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับจำนำเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยโดยปกติทั่วไปราคาทรัพย์ที่จำนำขึ้นอยู่กับผู้จำนำและผู้รับจำนำจะตกลงกันผู้จำนำอาจขอจำนำเพียง10ถึง20เปอร์เซ็นต์ของราคาทรัพย์ที่จำนำก็ได้เพื่อไม่ต้องเสียดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันมากเกินไปแต่บางรายผู้จำนำอาจขอจำนำทรัพย์ในราคาที่สูงผู้รับจำนำอาจกำหนดราคาทรัพย์ที่จำนำให้ไม่สูงมากนักเพราะอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนถ้าผู้จำนำไม่มาไถ่ถอนทรัพย์ที่จำนำภายในระยะเวลาที่กำหนดและผู้รับจำนำต้องนำทรัพย์ที่จำนำออกขายแล้วได้เงินไม่คุ้มกับเงินที่รับจำนำพร้อมดอกเบี้ยก็ได้ดังนั้นการที่จำเลยที่2รับจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายในราคา2,300บาทจึงมิใช่ข้อพิรุธที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่2รู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์รูปคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานรับของโจร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 357, 334
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนดคนละ 3 ปี
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีสมบัตร ค้ายาดี และร้อยตำรวจโทสมบูรณ์ ตันติวรพิพัฒน์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับจำเลยทั้งสองมาเบิกความยืนยันว่า ขณะจับนายประเสริฐคนร้ายที่ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป นายประเสริฐรับสารภาพว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้พานายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์ไปจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 พยานจึงเดินทางไปที่บ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 บอกว่าจำเลยที่ 1 ได้นำนางจันทร์ กระต่ายเทศมาไถ่ถอนจำนำรถจักรยานยนต์คืนแล้ว จำเลยที่ 2 นำพยานไปที่บ้านจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 ระหว่างทางสอบถามจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ว่านางจันทร์นำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจอดทิ้งไว้ พยานจึงจับจำเลยทั้งสอง ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.10 เห็นว่าจากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้พานายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 พยานโจทก์ทั้งสองอ้างว่า ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.10ศาลฎีกาได้ตรวจดูบันทึกการจับกุมดังกล่าวในช่องจำเลยทั้งสองให้การว่าแล้ว หาได้มีข้อความใดระบุว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพไม่ หากจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมจริงเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับจำเลยทั้งสองย่อมจะต้องบันทึกรายละเอียดของคำให้การรับสารภาพในบันทึกการจับกุมดังกล่าวไว้การไม่ระบุรายละเอียดคำให้การของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ทั้งจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสมบูรณ์พยานโจทก์ก็ว่าจำเลยที่ 1รับกับพยานว่า เป็นผู้ช่วยเหลือนายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่ารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวนายประเสริฐได้ลักมา ซึ่งความในข้อนี้ก็สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.14ที่ระบุว่า นายประเสริฐมาอ้อนวอนจำเลยที่ 1 ให้ช่วยจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ซึ่งนายประเสริฐอ้างว่าเป็นรถจักรยานยนต์ของตน จำเลยที่ 1 จึงพานายประเสริฐพร้อมกับนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ก็นำสืบสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนว่า นายประเสริฐเพื่อนของจำเลยที่ 1 มาขอให้จำเลยที่ 1 ช่วยนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่งนายประเสริฐอ้างว่าเป็นของตนไปจำนำเพื่อนำเงินมาไถ่ถอนจำนำที่นายประเสริฐนำหม้อหุงข้าวไปจำนำบุคคลอื่นไว้คืน จำเลยที่ 1 เชื่อใจนายประเสริฐจึงพานายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์ไปจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสมบูรณ์ว่า จำเลยที่ 2 บอกพยานว่าเห็นจำเลยที่ 1 เป็นคนรู้จักกันมาก่อนและไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงรับจำนำรถจักรยานยนต์ของนายประเสริฐไว้ แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 จะให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.15 ในตอนแรกว่าจำเลยที่ 1กับนายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์มาให้ช่วยซ่อม โดยจัดการปะยางล้อหลัง เปลี่ยนหัวเทียนใหม่ 1 หัว ตั้งระบบไฟฟ้าให้ แต่จำเลยที่ 1และนายประเสริฐไม่มีเงินค่าซ่อมรถ จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมเงินจำเลยที่ 2 รวมกับค่าซ่อมรถเป็นเงิน 2,300 บาท ก็ตาม แต่ตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจนำนายประเสริฐมาพบจำเลยที่ 2 นายประเสริฐรับสารภาพว่า ได้นำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ให้การทำนองว่านายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์มาจำนำจำเลยที่ 2 ไว้ ครั้งแรกจำเลยที่ 2ไม่รับจำนำแต่นายประเสริฐอ้อนวอนประกอบกับจำเลยที่ 2 เกรงใจจำเลยที่ 1 จึงรับจำนำไว้ ซึ่งในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ก็นำสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 1 พานายประเสริฐนำรถจักรยานยนต์ซึ่งอ้างว่าเป็นของนายประเสริฐเองมาจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ขอดูใบคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์จากนายประเสริฐแต่นายประเสริฐบอกว่าอยู่ที่บ้าน จำเลยที่ 2 จึงบอกปัดไม่รับจำนำจำเลยที่ 1 บอกว่านายประเสริฐเป็นเพื่อนของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 เชื่อใจจึงรับจำนำไว้ จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองดังกล่าวตลอดจนคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาไม่ปรากฎข้อพิรุธใดที่จะแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2รับจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่นายประเสริฐได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ อีกทั้งหากจำเลยทั้งสองรู้ว่ารถจักรยานยนต์ที่นายประเสริฐนำมาจำนำไว้แก่จำเลยที่ 2 เป็นรถจักรยานยนต์ที่นายประเสริฐลักมาจริงจำเลยทั้งสองคงจะช่วยกันปกปิดโดยจำเลยที่ 2 น่าจะนำรถจักรยานยนต์ไปเก็บไว้มิดชิดคงไม่ยอมให้นางจันทร์นำเงินมาไถ่ถอนจำนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไป ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มีอาชีพรับจำนำ จำเลยที่ 2 จำต้องตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายก่อนที่จะรับจำนำรถจักรยานยนต์นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ก็เบิกความว่า จำเลยที่ 2รู้จักกับจำเลยที่ 1 แต่ไม่รู้จักนายประเสริฐผู้นำรถจักรยานยนต์มาจำนำ ตอนแรกจำเลยที่ 2 ได้ขอดูใบคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์จากนายประเสริฐ เมื่อนายประเสริฐบอกว่าใบคู่มือทะเบียนรถจักรยานยนต์อยู่ที่บ้าน จำเลยที่ 2 จึงบอกปัดไม่รับจำนำ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 บอกจำเลยที่ 2 ว่า นายประเสริฐเป็นเพื่อของตนจำเลยที่ 2 เชื่อใจจำเลยที่ 1 จึงรับจำนำไว้ จากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแสดงว่า ในครั้งแรกจำเลยที่ 2 เอง ก็บอกปัดไม่รับจำนำรถจักรยานยนต์จากนายประเสริฐ สาเหตุที่รับจำนำไว้เพราะเชื่อใจจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายประเสริฐนั่นเองกรณีจึงอาจเป็นไปได้ตามที่จำเลยที่ 2 นำสืบ เพราะแม้นายประเสริฐจะไม่มีใบคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์มาจำนำ จำเลยที่ 2ก็อาจจะรับจำนำได้เพราะเชื่อใจจำเลยที่ 1 กรณีจึงมิใช่ข้อพิรุธที่จะแสดงว่าการที่จำเลยที่ 2 รับจำนำรถจักรยานยนต์ไว้จากนายประเสริฐ จำเลยที่ 2 น่าจะรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่นายประเสริฐได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 กับนายประเสริฐและจำเลยที่ 2ตกลงราคารับจำนำรถจักรยานยนต์เพียง 2,300 บาท ทั้งที่รถจักรยานยนต์ดังกล่าวมีราคาถึง 10,000 บาท นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่งนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 เพียงรับจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไว้ มิใช่ซื้อรถจักรยานยนต์จากนายประเสริฐ ซึ่งจะต้องชำระเงินเต็มตามราคาทรัพย์สินที่ซื้อไว้แต่การรับจำนำเป็นเพียงการที่ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยด้วยเท่านั้น โดยปกติทั่วไปราคาทรัพย์ที่จำนำขึ้นอยู่กับผู้จำนำและผู้รับจำนำจะตกลงกัน ผู้จำนำอาจขอจำนำเพียง 10ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของราคาทรัพย์ที่จำนำก็ได้ เพื่อไม่ต้องเสียดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันมากเกินไป แต่บางรายผู้จำนำอาจของจำนำทรัพย์ในราคาที่สูง ผู้รับจำนำอาจกำหนดราคาทรัพย์ที่จำนำให้ไม่สูงนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนถ้าผู้จำนำไม่มาไถ่ถอนทรัพย์ที่จำนำภายในระยะเวลาที่กำหนด และผู้รับจำนำต้องนำทรัพย์ที่จำนำออกขายแล้วได้เงินไม่คุ้มกับเงินที่รับจำนำพร้อมดอกเบี้ยก็ได้ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 รับจำนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายในราคาดังกล่าว จึงมิใช่ข้อพิรุธที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2รู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบพฤติการณ์แห่งคดีแล้วรูปคดียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองมานั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share