คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาเช่าที่ดินจะห้ามมิให้เช่าช่วง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรก็ดีถ้าผู้ให้เช่ายินยอมให้เช่าช่วงได้แม้ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็ต้องถือว่าผู้ให้เช่ายินยอม
ผู้ให้เช่าที่ดินยินยอมให้เช่าช่วงที่ดิน ผู้เช่าช่วงปลูกเรือนให้เช่าผู้เช่าเรือนไม่ใช่บริวารของผู้เช่าที่ดินผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่ผู้เช่าเดิมแล้วจะขอให้ศาลบังคับตลอดถึงผู้เช่าเรือนโดยมิได้ฟ้องผู้เช่าช่วงที่ดินด้วยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร ออกจากที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 2781 ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร โดยอ้างว่าจำเลยเช่าที่ดินรายนี้จากโจทก์ จำเลยผิดสัญญาเอาที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง โดยโจทก์ไม่ยินยอม ทั้งสัญญาเช่าครบอายุ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาตามยอมว่า จำเลยและบริวารยอมรื้อเรือนและห้องแถวออกจากที่พิพาท

ในการบังคับคดี โจทก์ร้องว่าผู้ร้องทั้งสี่นี้เป็นผู้เช่าช่วงโรงเรือนที่ปลูกอยู่ในที่พิพาท ขอให้ศาลบังคับผู้ร้องให้ออก

ผู้ร้องทั้งหมดแถลงว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นบริวารของจำเลย เพราะโจทก์ยินยอมให้นางอนงค์ เช่าช่วงที่ดินรายนี้ แล้วนางอนงค์ได้ปลูกห้องแถวให้พวกผู้ร้องเช่าเพื่ออยู่อาศัย โดยโจทก์ยินยอม แต่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ

ศาลชั้นต้นไม่สืบพยานและฟังว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยสั่งให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษา

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการสืบพยานแล้วสั่งตามรูปความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยให้นางอนงค์เช่าช่วง ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่ดินของโจทก์ ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย จึงสั่งให้ผู้ร้องออกจากที่พิพาท

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาฟังว่า ผู้ร้องเข้าอยู่โดยอำนาจที่เช่าจากนางอนงค์ โดยนางอนงค์เช่าช่วงที่ดินจากจำเลย ด้วยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ แต่โจทก์หาได้ฟ้องนางอนงค์ไม่ ผู้ร้องไม่ใช่บริวารจำเลย หากแต่เป็นบริวารของนางอนงค์โดยตรง เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องนางอนงค์จะบังคับผู้ร้องในฐานะเป็นบริวารของจำเลยในคดีนี้ไม่ได้จึงพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้บังคับผู้ร้องออกจากห้องพิพาท

นายชิต อิ่มโอชา นายกิตติ กรินทสุทธิ์ ผู้รับมรดกความโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว ตามฎีกาโจทก์ข้อแรกที่ว่าโจทก์ไม่ได้ยินยอมให้นางอนงค์เช่าช่วงนั้น เห็นว่า ตามคำนางผึ่ง จำเลยพยานโจทก์เองว่า เมื่อนางอนงค์ปลูกเรือนและห้องแถว นางผึ่งได้บอกให้โจทก์ทราบ โจทก์ไม่ว่ากระไร นอกจากนี้ก็ปรากฏว่าโจทก์เองก็อยู่ในที่ดินผืนเดียวกับที่พิพาท ห่างกันราวเส้นเศษ นางผึ่งว่าโจทก์เคยมา ณ ที่ดินนี้เสมอ บางทีก็มาคุยกันนับตั้งครึ่งวันก็มีแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมไม่ว่ากล่าว แม้ตามสัญญาจะปรากฏว่า มิให้ผู้เช่าให้ผู้อื่นเช่าช่วง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรก็ดี แต่พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แสดงว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยเช่าช่วงได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงตกไป

โจทก์คัดค้านในฎีกาอีกว่า เมื่อนางอนงค์เป็นผู้เช่าช่วงที่ดินจากจำเลยมาปลูกเรือนให้ผู้ร้องเช่าอีกทอดหนึ่ง ผู้ร้องย่อมเป็นบริวารของจำเลย เพราะนางอนงค์อาศัยสิทธิการเช่ามาจากจำเลยอีกทอดหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องฟ้องนางอนงค์นั้น เห็นว่าเรือนห้องแถวที่ผู้ร้องอยู่นี้เป็นเรือนของนางอนงค์ ไม่ใช่เรือนของนางผึ่ง จำเลย ผู้ร้องอยู่ในห้องแถวรายนี้โดยอำนาจที่เป็นผู้เช่าจากนางอนงค์ โดยนางอนงค์เช่าช่วงที่ดินจากจำเลย แต่โจทก์มิได้ฟ้องร้องว่ากล่าวกับนางอนงค์ ผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารจำเลย จะบังคับผู้ร้องในฐานะเป็นบริวารของจำเลยหาได้ไม่ ดังศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาชอบแล้ว

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าทนายความแทนผู้ร้องชั้นฎีกา 100 บาท

Share