คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ประมาทแซงรถยนต์ของผู้อื่นด้วยความเร็วสูงเข้าไปในช่องเดินรถด้านขวา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่ ร.ขับสวนทางมาทำให้ร. ได้รับอันตรายแก่กายและโจทก์ร่วมซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุเฉี่ยวชนกัน จำเลยมิได้ขับรถยนต์แซงรถยนต์คันอื่น แต่จำเลยคาดผิดคิดว่า ร. ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้าน จำเลยจึงขับรถเบนออกทางขวาเพื่อให้รถจักรยานยนต์ของ ร. เลี้ยวพ้นไปได้โดยจำเลยไม่ต้องหยุดรถแต่ ร.ไม่ได้เลี้ยวรถดังที่จำเลยคาด จำเลยเหยียบเบรก แต่ไม่พ้นเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็ว เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่คาดผิดและขับรถด้วยความเร็ว ดังนี้แม้ทางพิจารณาที่ศาลชั้นต้นฟังมาจะไม่ได้ความว่าจำเลยขับรถแซงรถยนต์คันอื่น แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นนำมารับฟังว่าเป็นความประมาทของจำเลยประการหนึ่งคือการที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องด้วย จึงมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องเสียทั้งหมด อันเป็นเหตุที่จะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาท โดยขับรถยนต์แซงรถยนต์คันอื่นที่แล่นอยู่ข้างหน้าขึ้นไปด้วยความเร็วสูงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของผู้อื่น ทำให้เกิดเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้อื่น และมีผู้ได้รับอันตรายแก่กายและได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางผกาทิพย์ สุขสมจิตร์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนักที่สุด ลงโทษจำคุก4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก แล้วพิพากษายกฟ้องชอบหรือไม่พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทแซงรถยนต์คันอื่นที่อยู่ข้างหน้าด้วยความเร็วสูงเข้าไปในช่องเดินรถด้านขวา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่นายรังสันขับสวนทางมาทำให้นายรังสันได้รับอันตรายแก่กายและโจทก์ร่วมซึ่งนั่งซ้อนท้ายได้รับอันตรายสาหัส ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุเฉี่ยวชน จำเลยมิได้ขับรถแซงรถยนต์คันอื่น แต่จำเลยคาดผิดคิดว่านายรังสันจะขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้าหมู่บ้าน จำเลยจึงขับรถเบนออกทางขวาเพื่อให้รถจักรยานยนต์ของนายรังสันเลี้ยวพ้นไปโดยจำเลยไม่ต้องหยุดรถ แต่นายรังสันไม่ได้เลี้ยวรถดังที่จำเลยคาด จำเลยต้องเหยียบห้ามล้อ แต่ไม่พ้น เพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็ว เห็นว่า แม้ทางพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ได้ความเรื่องจำเลยขับรถแซงรถยนต์คันอื่น แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังว่าจำเลยประมาทประการหนึ่ง คือการที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในฟ้องด้วย กรณีจึงมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องเสียทั้งหมด อันจะถือเป็นเหตุยกฟ้องได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และเนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยยังมิได้วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า เหตุคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยจึงเห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share