คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5578/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องแต่โจทก์ไปคัดค้าน จึงขอให้บังคับโจทก์ยินยอมรับการสอบเขตที่ดินของจำเลย เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามประเด็นในคำฟ้องเดิมของโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องขับไล่จำเลยผู้บุกรุกที่ดินของโจทก์ไม่อาจฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงเป็นฟ้องแย้งที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทายซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลจะรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาไม่ได้เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42000 ตำบลหนองค่าย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 8 ไร่ 3 งาน 67 ตารางวา เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2544 จำเลยบุกรุกเข้าไปไถหว่านในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยยาวตลอดแนวประมาณ 40 วา ลึกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 20 วา คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 800 ตารางวา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินเดือนละ 500 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว และห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไถหว่านและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยซึ่งซื้อมาจากนางพรวน ขนานไทย เมื่อปี 2531 และโอนทางทะเบียนเมื่อปี 2534 ต่อมาปี 2544 ทางราชการออกโฉนดที่ดินตามรูปแผนที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์และจำเลย เป็นการออกโฉนดทั่วไปทั้งตำบลไม่ใช่เป็นการออกโฉนดเฉพาะราย จึงไม่ได้ทำการสำรวจรังวัด ทำให้คลาดเคลื่อนไม่ตรงตามที่โจทก์และจำเลยครอบครองกันจริง เนื้อที่ของที่ดินในโฉนดของจำเลยขาดไปประมาณ 3 ไร่ โดยเพิ่มเป็นส่วนของโจทก์ ต่อมาจำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องตามความจริง โจทก์โต้แย้งคัดค้านมิให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลย ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2545 เจ้าพนักงานที่ดินได้หลอกลวงฉ้อฉลจำเลยให้ยกเลิกคำขอรังวัดเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 69 ทวิ ขอให้ยกฟ้องและขอให้หมายเรียกเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทายเข้ามาเป็นคู่ความ และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ยินยอมรับการสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินในโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงที่ได้ครอบครอง หากไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงตามความจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์ยินยอมรับการสอบเขตและขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งเป็นคดีฟ้องขับไล่จึงไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ดังนั้น การบรรยายฟ้องแย้งจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กล่าวคือ ต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น และจะต้องบรรยายให้เห็นว่าโจทก์ได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลย อย่างไรตามมาตรา 55 ทั้งต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสุดท้าย ฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่า จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องตามความจริง แต่โจทก์ไปคัดค้านมิให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนด จึงขอให้บังคับโจทก์ยินยอมรับการสอบเขตที่ดินของจำเลย เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพากษาตามประเด็นในคำฟ้องเดิมของโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องขับไล่ จำเลยชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ไม่อาจขอรวมมาในคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทาย แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจริงเป็นฟ้องแย้งที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาประทายซึ่งเป็นบุคคลภายนอก มิใช่ฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลจะรับฟ้องแย้งในส่วนนี้ของจำเลยไว้พิจารณาไม่ได้เช่นเดียวกัน ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share