คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5576/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน เนื่องมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 กรรมการได้มีมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวกับการกระทำโดยมิชอบในการถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกภาพนั้น โจทก์ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ อันเกิดแก่การที่โจทก์ต้องขาดจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 รวมไปกับการฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมกรรมการของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน แต่กลับมาเรียกร้องในคดีนี้โดยอาศัยเหตุแห่งการถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพคราวเดียวกันซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ปัญหานี้แม้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้และไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควรเพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
สหกรณ์แท็กซี่สยาม จำกัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ได้ประชุมคณะกรรมการดำเนินการและมีมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ อ้างว่าโจทก์กระทำการไม่ซื่อตรงหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนมติดังกล่าว และหลังจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนมติกรรมการของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้จดแจ้งโจทก์กลับเข้าเป็นสมาชิกตามเดิม และโจทก์บรรยายในคำฟ้องว่า การที่จำเลยที่ 1 ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ประสงค์ให้โจทก์พ้นจากการเป็นกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการแกล้งหรือจงใจใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่โจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จงใจกลั่นแกล้งโจทก์อย่างไร และการที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มาประชุมและลงมติให้ถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 ก็เป็นการกระทำหน้าที่ในการประชุมตามปกติ ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ แม้ภายหลังศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยที่ 1 หรือทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ก็เป็นเรื่องของดุลยพินิจและความเห็นที่แตกต่างกัน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 วรรคสอง, 77 และ 812

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสหกรณ์ประเภทสหกรณ์บริการมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการดำเนินการ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ได้ลงมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ไม่ซื่อตรง หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 อันเป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับ ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนมติดังกล่าวคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกามีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติของจำเลยทั้งหมดดังกล่าว การที่จำเลยทั้งแปดมีมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกเป็นเหตุให้โจทก์ต้องขาดจากการเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ขาดประโยชน์จากการนำรถออกรับจ้าง และทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงเกียรติคุณอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 650,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระเงิน 650,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 7 และที่ 8 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการของสหกรณ์แท็กซี่สยาม จำกัด จำเลยที่ 1 โจทก์เป็นสมาชิกและเป็นกรรมการดำเนินการคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ในฐานะกรรมการดำเนินการได้มีมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2531 โจทก์กับพวกซึ่งเป็นกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ 1 อีกคนหนึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนมติดังกล่าว ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดยืนตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนมติคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ครั้งที่ 2 (10) /2531 (ที่ให้ถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1) ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 26056/2531 ของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2537 ระหว่าง นายสุรพล นพคุณวัฒนากุล ที่ 1 นายสำรวย กฤษณคุปต์ ที่ 2 โจทก์ กับสหกรณ์แท็กซี่สยาม จำกัด จำเลย หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 ในคดีดังกล่าวยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้ลงมติในคดีดังกล่าวเรียกค่าเสียหายฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นคดีนี้
กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า จำเลยทั้งแปดได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 26056/2531 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยได้ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ (โจทก์ที่ 1 ในคดีดังกล่าว) ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยที่ 1 (จำเลยในคดีดังกล่าว) หรือทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายอันเป็นเหตุให้ที่ประชุม (จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8) ลงมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ที่ 1 มติของที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยเหตุนี้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน สาเหตุก็เนื่องมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 กรรมการได้มีมติถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2531 ดังนั้นโจทก์มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยที่ 1 ประการใดอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวกับการกระทำโดยมิชอบในการถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นสมาชิกภาพนั้น โจทก์ย่อมต้องใช้สิทธิเรียกร้องมาในคราวเดียวกันทั้งหมด การที่โจทก์มิได้เรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ อันเกิดแก่การที่โจทก์ต้องขาดจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 รวมไปกับการฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมกรรมการของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อน แต่กลับมาเรียกร้องในคดีนี้โดยอาศัยเหตุแห่งการถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 26056/2531 ของศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ปัญหานี้แม้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้และไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เมื่อเห็นสมควรเพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ต้องรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้โจทก์บรรยายในคำฟ้องข้อ 2 ได้ความว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ขณะนั้นได้ประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งที่ 2 (10)/2531 และมีมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์อ้างว่าโจทก์กระทำการไม่ซื่อตรงหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 พ.ศ. 2518 ข้อ 13 (9) โดยมติดังกล่าวยังได้ถอดถอนสมาชิกภาพของนายสำรวย กฤษณคุปต์ สมาชิกของจำเลยที่ 1 หมายเลข 555 อีกคนหนึ่งด้วย เนื่องจากโจทก์และนายสำรวยได้คัดค้านการเลิกจ้างนางสาวเกษมศานต์ ชมภูแดง อดีตเจ้าหน้าที่การเงินของจำเลยที่ 1 และโจทก์กับนายสำรวยยังได้ไปเบิกความเป็นพยานศาลให้แก่นางสาวเกษมศานต์ที่ศาลแรงงานกลางในคดีที่นางสาวเกษมศานต์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จนศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่นางสาวเกษมศานต์ 33,000 บาท โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนมติดังกล่าว และหลังจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนมติกรรมการของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้จดแจ้งโจทก์กลับเข้าเป็นสมาชิกตามเดิม และบรรยายในคำฟ้องข้อ 3 ว่า การที่จำเลยที่ 1 ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ตามฟ้องข้อ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ประสงค์ให้โจทก์พ้นจากการเป็นกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแกล้งหรือจงใจใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่โจทก์ก็นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จงใจกลั่นแกล้งโจทก์อย่างไร นอกจากนี้ตามบันทึกรายงานการประชุมครั้งที่ 2 (10)/2531 เอกสารหมาย จ.4 ปรากฏว่าในวันประชุมดังกล่าวมีกรรมการมาร่วมประชุมทั้งหมด 10 คน คือ โจทก์ นายสำรวย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 และนายคำ สายสุด และมีระเบียบวาระการประชุม 9 วาระ การพิจารณาถอดถอนจากสมาชิกภาพอยู่ในระเบียบวาระที่ 5 โดยคณะอนุกรรมการสอบสวนความผิดของสมาชิกที่ประกอบด้วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับนางสาวจิดาพร วิทยปิยานนท์ ได้เสนอรายงานผลการสอบสวนสมาชิกจำนวน 3 ราย คือ โจทก์ นายสำรวย กฤษณคุปต์ และนายเอก ครุฑปรีชาวรรณ โดยคณะอนุกรรมการเสนอความเห็นให้ถอดถอนออกจากสมาชิกภาพทั้งสามราย คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า สมาชิกทั้งสามรายกระทำผิดข้อบังคับของจำเลยที่ 1 พ.ศ. 2518 ข้อ 13 (9) จึงลงมติให้ถอดถอนโจทก์ นายสำรวยและนายเอกออกจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 โดยกรรมการที่เห็นชอบให้ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์มีจำนวน 7 คน คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการถอดถอน 1 คน คือ นายคำ สายสุด เป็นการลงมติด้วยคะแนน 2 ใน 3 ของกรรมการที่มาประชุม ถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 และคณะกรรมการอื่นของจำเลยที่ 1 ได้ประชุมในระเบียบวาระอื่นต่อไป คือรับทราบ รายงานกิจการและรายงานกิจการรถเช่าประจำเดือนมกราคม 2531 พิจารณาคำร้องทุกข์ของสมาชิก รวม 7 เรื่อง และเรื่องอื่น ๆ อีก 6 เรื่อง แสดงให้เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มาประชุมและลงมติให้ถอดถอนโจทก์ออกจากสมาชิกภาพของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการกระทำหน้าที่ในการประชุมตามปกติ ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด แม้ภายหลังศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์ของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยที่ 1 หรือทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายก็ตาม ก็เป็นเรื่องของดุลยพินิจและความเห็นที่แตกต่างกันเท่านั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 วรรคสอง, 77 และ 812
พิพากษายืน

Share