แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วันนัดสืบพยานโจทก์แม้จะมิใช่นัดแรก โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบตามกำหนดนัด หากไม่ติดใจสืบพยานอีกก็ต้องแถลงให้ศาลทราบเพื่อจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป การที่ทนายโจทก์แถลงไว้ในนัดก่อนว่า หากนัดหน้าไม่สามารถติดตาม ส. มาเบิกความได้ก็ให้ถือว่าทนายโจทก์ไม่ติดใจสืบ ส. อีกก็หาได้มีความหมายถึงกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลด้วยไม่ เมื่อโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกฟ้องเสียได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ที่ 1 ไว้ในห้องควบคุมผู้ต้องหาเป็นเวลา 7 วัน ทำให้โจทก์ที่ 1 ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจและจูงใจโจทก์ทั้งสองให้หาเงิน 10,000 บาท มามอบให้แล้วจำเลยทั้งสองจะปล่อยตัวโจทก์ที่ 1 อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง หรือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 157, 310, 91, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น หลังจากสืบพยานโจทก์ไปหลายนัดแล้วในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดต่อมา จำเลยทั้งสองมาศาล แต่โจทก์ทั้งสองและทนายโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ต่อมาในวันเดียวกันทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่า ระหว่างเดินทางกลับจากธุระสำคัญที่จังหวัดกำแพงเพชรรถของทนายโจทก์เกิดอุบัติเหตุตกถนนได้รับความเสียหายจึงกลับจังหวัดตากและมาศาลไม่ทันตามกำหนดนัด ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้อง แต่ก่อนวันนัดไต่สวนคำร้อง โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงถือว่าโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะให้ไต่สวนคำร้องและสั่งให้งดการไต่สวนคำร้องไว้ก่อนเพื่อรอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยทั้งสอง แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 25 มกราคม2532 จะมิใช่วันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก โดยได้มีการสืบพยานโจทก์ทั้งสองไปแล้วถึง 7 ปากก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองก็ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อศาลคือการนำพยานเข้าสืบตามกำหนดนัด หากไม่ติดใจสืบพยานอีกก็ต้องแถลงให้ศาลทราบเพื่อจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป การที่ทนายโจทก์แถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2531 ว่า “…ฯลฯ…หากนัดหน้าไม่สามารถติดตามนายสมาน เลิกนอก มาเบิกความได้ ก็ให้ถือว่าทนายโจทก์ทั้งสองไม่ติดใจสืบพยานนายสมาน เลิกนอก อีก” นั้น คงมีความหมายเพียงว่าหากโจทก์ทั้งสองติดตามนายสมานมาเบิกความไม่ได้ ยอมให้ถือว่าโจทก์ทั้งสองไม่ติดใจสืบพยานปากนี้เท่านั้น หาได้มีความหมายถึงกรณีที่โจทก์ทั้งสองไม่มาศาลด้วยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาไม่ เมื่อปรากฏว่าไม่มีคู่ความฝ่ายโจทก์มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องเสียได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181 ฎีกาของจำเลยที่ 1ที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.