คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในคดีแพ่งว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าห้องพิพาทและเป็นจำเลยในคดีฟ้องขับไล่ออกจากห้องพิพาทดังกล่าวเพิ่งเช่าห้องพิพาทเมื่อประมาณ พ.ศ. 2506 หรือ 2507 และ 2505 ตามลำดับซึ่งความจริงแล้วโจทก์เป็นผู้เช่าห้องพิพาทมากว่า 20 ปี และเป็นการเช่าอยู่ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ประกาศใช้บังคับ โดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีเพราะระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาเช่าตามคำเบิกความของจำเลยซึ่งเป็นเวลาภายหลังการประกาศใช้บังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวหากฟังเป็นความจริงแล้ว อาจเป็นผลให้โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาเบิกความเท็จโดยกล่าวหาว่าตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้อง จำเลยบังอาจนำข้อความที่รู้ว่าเป็นความเท็จไปเบิกความเป็นพยานในคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๘๑๐/๒๕๑๑ ระหว่าง นายมนัส มัธยาคม โจทก์ (จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้) นางบุญพึ่งหรือบุญผึ่งเหมือนใจ (โจทก์ในคดีนี้) โดยจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าโจทก์เพิ่งมาขอเช่าห้องพิพาทเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๖ หรือ ๒๕๐๗ และจำเลยที่ ๒ เบิกความว่าโจทก์เพิ่งมาขอเช่าห้องพิพาทเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๕ และทั้งสองยังเบิกความว่าก่อนเวลาดังกล่าว มีคนเช่าห้องพิพาทอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งความจริงแล้วโจทก์ได้เช่าห้องพิพาทของจำเลยที่ ๑ ติดต่อมาเป็นเวลา ๒๘ – ๒๙ ปี แล้วจนปัจจุบัน ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีเพราะประเด็นสำคัญในคดีนั้นมีว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ หรือไม่และข้อความเท็จดังกล่าวก็เพื่อแสดงว่าโจทก์มิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๖ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยทั้งสองได้เบิกความตามข้อความที่กล่าวหาในฟ้องในคดีของศาลแพ่งหมายเลขดำที่ ๘๑๐/๒๕๑๑ หมายเลขแดงที่ ๓๐๕๗/๒๕๑๑ ดังกล่าวในฟ้อง ศาลแพ่งได้วินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยฟังว่าโจทก์ได้เช่าห้องพิพาทอยู่ก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิขับไล่ ซึ่งข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความดังกล่าวในฟ้องเป็นเท็จ ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นสำคัญในคดีแพ่งดังกล่าวนั้นมีว่าโจทก์ผู้เช่าจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ หรือไม่ และในการวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวก็จำต้องพิจารณาระยะเวลาเริ่มต้นของสัญญาเช่าเป็นสำคัญ กล่าวคือถ้าได้ความจริงว่า โจทก์เช่าอยู่ก่อนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ใช้บังคับก็ย่อมได้รับความคุ้มครอง ฉะนั้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่ว่าโจทก์เพิ่งเช่าห้องพิพาทอยู่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ หรือ ๒๕๐๗ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้บังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี เพราะอาจมีผลในการวินิจฉัยคดีไปในทางที่ว่าโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จโดยเจตนาจงใจเพื่อมิให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่า ฯลฯ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share