แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางหน้าปลอดภัยไม่มีรถสวนมานั้น ย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยในระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตายแม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตาม ก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ข้อ ๑๑ ซึ่งห้ามมิให้ขับรถเกินกว่า ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อผ่านทางแยกและด้วยความประมาทไปชนนายบุญ คุ้มโภคาซึ่งกำลังข้ามถนนถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๙, ๒๙, ๓๒, ๖๖ (ฉบับที่ ๔) มาตรา ๗, ๑๓ กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ข้อ ๑๑ และขอให้สั่งเพิกถอนใบอนญาตขับขี่ของจำเลยด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยขับรถเร็วเกินกว่า ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อผ่านทางแยก แต่การที่จำเลยชนผู้ตายเกิดจากเหตุสุดวิสัยไม่อาจป้องกันได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๖๖ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๑๓ ให้ปรับจำเลย ๕๐๐ บาท ยังไม่สมควรเพิกถอนใบอนุญาต ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยขับรถชนผู้ตายด้วยความประมาทพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ด้วย ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลย ๓ ปี และให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางทางไปแล้วเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยแต่ก็ได้ความว่าขณะนั้นมีรถยนต์โดยสารวิ่งสวนทางกับรถจำเลยเลี้ยวขวาตัด ทางวิ่งของรถจำเลยจะเข้าซอย การที่จำเลยเบนรถหลบไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางเพื่อให้พ้นท้ายรถโดยสารค้นนั้นโดยเห็นว่าทางข้างหน้าปลอดภัยไม่มีรถสวนมานั้น ย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกระทำได้หากแต่เป็นเหตุบังเอิญที่ผู้ตายไม่ใช้ความระมัดระวังวิ่งข้ามถนนมา โดยมิได้ดูว่ามีรถแล่นมาทางขวาหรือไม่พอวิ่งโผล่พ้นท้ายรถโดยสารก็อยู่ห่างรถจำเลยประมาณ ๑ วา อันเป็นระยะกระชั้นชิด ซึ่งจำเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทันท่วงที และจำเลยไม่อาจคิดได้ว่าจะมีบุคคลใดวิ่งผ่านพ้น (ท้าย) รถโดยสารมาในภาวะเช่นนี้ การที่จำเลยขับรถชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยไม่อาจป้องกันได้ (เหตุเกิดที่หลักกิโลเมตรที่ ๑๔-๑๕ ตำบลบางแค อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี บนถนนเพชรเกษม เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็ว ๕๖ กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตามก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนคนตายโดยประมาท
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น